นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฎิบัติการ บมจ.แสนสิริ(SIRI) กล่าวว่า ในปี 54 คาดยอดรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 2.1 หมื่นล้านบาท โดยมียอดขาย 3 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่มียอดขาย 2.7 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 10% จากปี 53 ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์
อัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้จะเพิ่มเป็น 33% จากปี 53 อยู่ที่ 32% จากการลดต้นทุน มีการจัดซื้ออย่างเป็นระบบและมีการสั่งซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก และจากแนวโน้มราคาวัสดุก่อสร้างปรับสูงขึ้น ทั้งปีนี้คาดว่าจะปรับขึ้น 3-5% ซึ่งทำให้บริษัทต้องทยอยปรับขึ้นราคาบ้าน 3-5% เช่นกัน
และบริษัทตั้งเป้ามีรายได้ในปี 55 เพิ่มเป็น 2.9 หมื่นล้านบาท เติบโตมากกว่า 20% และปี 56 จะมีรายได้เพิ่มเป็น 3.5 หมื่นล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิจะมีการเติบโตในอัตราเดียวกับรายได้ ซึ่งเป็นผลมาจากยอดโอนของโครงการคอนโดมิเนียมจำนวนมากที่บริษัทได้เปิดขายตั้งแตปี 53-54
"ช่วง 3 ปีนี้ ในปี 54-56 รายได้เราจะเติบโตปีละ 20% แต่ปีนี้ยังไม่เติบโตมากนัก เพราะปีนี้ไม่มีมาตรการภาษีเหมือนปีที่แล้ว ที่มีภาษีมาช่วย" นายวันจักร์ กล่าว
นายวันจักร์ กล่าวว่า ในปี 54 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ 23 โครงการ มูลค่ารวม 3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 11 โครงการ มูลค่ารวม 1.7 หมื่นล้านบาท ที่เหลือเป็นทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยว 12 โครงการ มูลค่ารวม 1.3 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทตั้งงบลงทุน 2 หมื่นล้านบาท แบ่งใช้ซื้อที่ดิน 5 พันล้านบาท ก่อสร้าง 1.5 หมื่นล้านบาท เทียบจากปีก่อนที่มีงบลงทุนจำนวน 1.8 หมื่นล้านบาท เป็นงบซื้อที่ดิน 9 พันล้านบาท และงบก่อสร้าง 9 พันล้านบาท
ณ สิ้นปี 53 บริษัทมีงานในมือ (backlog) 2.4 หมื่นล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้ในปีนี้ 8.5 พันล้านบาท และปี 55 รับรู้รายได้ 8.9 พันล้านบาท และในปี 56 รับรู้รายได้อีก 8 พันล้านบาท
สำหรับการลงทุนในต่างประเทศ บริษัทจะลงทุนในตลาดที่พัฒนาแล้ว เช่นที่สหรัฐและอังกฤษ ซึ่งไม่มีความเสี่ยง โดยในสหรัฐ มองการลงทุนในนิวยอร์กและบอสตัน รองรับความต้องการของคนไทยที่มาศึกษาต่อ ส่วนอังกฤษได้เข้าลงทุนในลอนดอนแล้ว และกลางเดือน มี.ค.54 จะเปิดขายบ้านที่ซื้อมาปรับปรุงใหม่ จำนวน 6 ยูนิต มูลค่าขาย 600 ล้านบาท เฉลี่ยยูนิตละ 100 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/54 จะบันทึกรายได้ทั้งหมดภายในปีนี้
ส่วนการลงทุนในประเทศกำลังพัฒนา เช่น อินเดียและเวียดนาม อาจเป็นการลงทุนกับพันธมิตรท้องถิ่นเพื่อลดความเสี่ยงการลงทุน
นายวันจักร์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ความต้องการบ้านในประเทศยังมีอยู่จริง และไม่เชื่อว่าจะเกิดภาวะฟองสบู่ตามที่หลายฝ่ายกังวล โดยบริษัทได้เริ่มหันมาทำตลาดระดับกลาง-ล่าง ในปีที่ผ่านมา ซึ่งมีการตอบรับที่ดี แต่ยอมรับว่าปีนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยง ทั้งเรื่องดอกเบี้ยที่ปรับขึ้น ซึ่งคาดว่าทั้งปี จะปรับดอกเบี้ยขึ้น 1% อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นส่งผลต่อกำลังซื้อลดลง แต่ที่ผ่านมาลูกค้าของบริษัทเป็น NPL น้อยมาก และโครงการคอนโดมิเนียมที่ยังเปิดขาย ยังไม่มีลูกค้าทิ้งเงินดาวน์
ทั้งนี้ ในช่วงต้นเดือน มี.ค.54 บริษัทเตรียมโรดโชว์ที่ประเทศสิงคโปร์และฮ่องกง เพื่อนำบริษัทให้เป็นที่รู้จักกับนักลงทุนต่างชาติ โดยร่วมคณะกับ บล.ซีไอเอ็มบี โดยขณะนี้สัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างประเทศอยู่ที่ 40% และยังมีการถือหุ้นในนาม เอ็นวีดีอาร์