นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนิตี้ กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง การบริหารความเสี่ยงจาก fund flow ว่า หลังจากนี้สภาพคล่องในประเทศที่มาจากนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันจะเป็นกลไกขับเคลื่อนดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้ผลตอบแทนในรูปเงินฝากลดลงและติดลบ จากปริมาณเงิน M2 อยู่ที่ประมาณ 11 ล้านล้านบาท มากกว่าจีดีพีที่มี 9 ล้านล้านบาท
ขณะที่หุ้นที่นักลงทุนต่างชาติเคยซื้อสะสมในช่วง 12-13 เดือนได้มีการขายออกหมดแล้วในช่วงที่ผ่านมา และคาดว่าช่วงปลายปีนี้เงินทุนต่างชาติอาจจะไหลกลับเข้ามาอีกครั้ง หากธนาคารกลางสหรัฐเลื่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็จะยิ่งทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายไปลงทุนในตลาดหุ้น จึงคาดว่าตลาดหุ้นไทยปีนี้มีโอกาสปรับขึ้นถึงระดับ 1,200 จุดได้ และหากสภาพคล่องยังดีมีโอกาสที่ดัชนีปรับขึ้นถึง 1,400 จุด
"เงินฝรั่งไม่สำคัญเท่า เงิน local ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์อะไรและมีสภาพคล่องเยอะ ดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจไปถึง 1,400 จุด ได้ "นายวิศิษฐ์ กล่าว
และ จากแนวโน้มอัตราการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนมีส่วนผลักดันการเติบโตของตลาดหุ้นไทย โดยปี 54 นักวิเคราะห์ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน จาก 17% เป็น 18.9% และปี 55 อยู่ที่ 15.3% สะท้อนถึงพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนที่แข็งแกร่ง ขณะที่ตลาดหุ้นไทย P/E อยู่ที่ 11.86 เท่า และปี 55 อยู่ที่ 10.3 เท่าซึ่งเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนหันมาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น
ส่วนปัจจัยการเมืองที่ผ่านมาพบว่าหากรัฐบาลบริหารประเทศเกิน 2 ปี จะทำให้ผลตอบแทนของตลาดหุ้นสูงมากกว่า 30% สะท้อนได้จากรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ,นายชวน หลีกภัย , พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และตลาดหุ้นยังสามารถซื้อขายได้ใน P/E ที่ต่ำ
และจากสถิติที่ผ่านมาช่วง 1 เดือนก่อนการยุบสภาของรัฐบาล ดัชนีตลาดหุ้นไทยก่อนการเลือกตั้งจะปรับขึ้นประมาณ 8% แต่ให้ระวังช่วงเดือน มี.ค.54 จะมีการรีไฟแนนซ์หนี้สาธารณะของประเทศในยุโรป จำนวน 7.7 หมื่นล้านยูโร ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทย
นายวิศิษฐ์ กล่าวแนะนำให้ลงทุนในหุ้นโรงกลั่น ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ที่มี B/V ต่ำกว่าหุ้นธนาคารอื่น และหุ้น บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย (SCC) ที่มีรีเทิร์นสม่ำเสมอ