บมจ.ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ (SITHAI) ยืนยันเดินหน้าลงทุนในประเทศอินเดียในปีนี้ พร้อมศึกษาขยายการลงทุนในขั้นต่อไป แต่ขอชะลอแผนลงทุนในเวียดนามไว้ก่อน ทั้งที่จะเข้าไปลงทุนเองและร่วมกับพันธมิตร หลังจากมีการลดค่าเงินดองลงมาก ประกอบกับพันธมิตรจากเดนมาร์ไม่พร้อม ขณะที่ผลประกอบการปีนี้กำไรสุทธิจะเติบโตขึ้นจากปีก่อนตามยอดขายที่คาดว่าจะสูงขึ้นราว 17% จากปี 53
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ SITHAI กล่าวว่า บริษัทตั้งงบลงทุนในปีนี้ไว้ที่ 1,400 ล้านบาท แบ่งเป็นใช้จัดซื้อเครื่องจักรและปรับปรุงอาคารโรงงานเดิม 4 แห่ง จำนวน 1,000 ล้านบาท และลงทุนต่างประเทศ 400 ล้านบาท
สำหรับการลงทุนต่างประเทศ วงเงิน 250 ล้านบาทจะใช้ลงทุนในประเทศอินเดียที่จะสร้างโรงงานเมลามีนแห่งใหม่ จากที่มีการตั้งสำนักงานขายไปก่อนหน้านี้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรที่จะร่วมถือหุ้นในสัดส่วน 30% คาดว่าได้ข้อสรุปในเดือน มี.ค.54 โดยโรงงานใหม่มีกำลังการผลิตเมลามีน 3 พันตัน/ปี
นายสนั่น กล่าวว่า การตั้งโรงงานในประเทศอินเดีย ทำให้บริษัทไม่ต้องเสียภาษีนำข้าสินค้าเพื่อไปจำหน่ายในอัตรา 28% และบริษัทยังมีแนวคิดตั้งโรงงานผลิตวัตถุดิบ หรือผงเมลามีน ที่ต้องเสียภาษีนำเข้า 28% เช่นกัน
ส่วนงบลงทุนอีก 120 ล้านบาท เดิมมีแผนจะใช้ขยายกำลังการผลิตโรงงานพลาสติและเมลามีนในประเทศเวียดนาม แต่เนื่องจากมีการลดค่าเงินดองอย่างมาก ทำให้อาจต้องชะลอแผนดังกล่าวไปก่อน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย โดยจะรอให้สถานการณ์นิ่งก่อน จึงจะพิจารณาเข้าลงทุน ซึ่งจะนำเรื่องดังกล่าวหารือในการประชุมฝ่ายบริหารของบริษัทต่อไป
ขณะเดียวกันบริษัทได้พับแผนการลงทุนในประเทศเวียดนามเมื่อช่วงปลายปี 53 หลังได้มีการเจรจากับพันธมิตรจากประเทศเดนมาร์คเพื่อลงทุนผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารจากพลาสติกและถังบรรจุสารเคมี เนื่องจากเศรษฐกิจในเวียดนามยังไม่ดีและพันธมิตรจากเดนมาร์กได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจในยุโรปชะลอตัว
นายสนั่น กล่าวว่า ในปี 55 บริษัทจะไม่มีแผนการลงทุนใหม่ๆ เนื่องจากตั้งแต่ปี 51-53 มีการลงทุนจำนวนมาก 2.3 พันล้านบาท และปีนี้มีการลงทุนอีก 1.4 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในการขยายกำลังการผลิต
"ปี 55 เราคงชะลอการลงทุนเพราะ 3 ปีที่ผ่านมาและปีนี้เราลงทุนจำนวนมาก ปีหน้าเราจะเริ่มเก็บเกี่ยวอย่างจริงจัง จะไม่มีการลงทุนใหม่" นายสนั่น กล่าว
ด้านผลประกอบการในปีนี้ SITHAI คาดว่าจะมีกำไรสุทธิเติบโตมากกว่าปี 53 เนื่องจากคาดว่าจะมียอดขายปี 54 เติบโต 17% เป็น 6.7 พันล้านบาท จากปีก่อนที่มียอดขาย 5.7 พันล้านบาท โดยเห็นแนวโน้มตั้งแต่ไตรมาส 1/54 ยอดขายน่าจะออกมาสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 10% เนื่องจากสินค้าเมลามีนมีการตอบรับที่ดีมากในตลาดต่างประเทศ ทประกอบกับมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมาก
และ คาดการณ์ว่าปี 55 บริษัทจะมียอดขายเพิ่มเป็น 7.8 พันล้านบาท
ปัจจัยเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจในปีนี้ ได้แก่ ราคาเม็ดพลาสติกที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันจากเหตุการณ์ชุมนุมในประเทศตะวันออกกลาง จึงทำให้ต้นทุนการผลิตของบริษัทสูงขึ้นตามไปด้วย แต่บริษัทได้มีการซื้อวัตถุดิบล่วงหน้าไว้ 2 เดือน ทำให้ยังไม่จำเป็นต้องการปรับขึ้นราคาสินค้าในขณะนี้ แต่หลังจากนี้คงต้องมีการปรับราคาขายตามราคาวัตถุดิบที่ปรับสูงขึ้น โดยคาดว่าราคาเม็ดพลาสติกจะปรับสูงขึ้นและทรงตัวได้ในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย.54 โดยขณะนี้ราคา PET ปรับขึ้นมาถึง 59 บาท/กก. จากก่อนหน้านี้อยู่ที่ 39 บาท/กก.
นอกจากนี้ ยังเป็นห่วงทิศทางอัตราดอกเบี้ยในช่วงขาขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อภาระหนี้ของบริษัท ซึ่งปัจจุบันมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่ 0.6 เท่า
อนึ่ง บริษัทมีสัดส่วนการส่งออก 26% ของรายได้ มีฐานการผลิตต่างประเทศที่เวียดนาม อินโดนีเซีย และจีน