SPALI ขยับเปิดโครงการใหม่เพิ่มเป็น 16 แห่งในปีนี้ จากเดิม 14 แห่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday February 23, 2011 17:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการบริหาร บมจ.ศุภาลัย (SPALI) เปิดเผยว่า บริษัทปรับแผนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้เพิ่มเป็น 16 โครงการ มูลค่ารวม 2 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่คาดไว้ว่าจะเปิด 14 โครงการ มูลค่ารวม 1.7 หมื่นล้านบาท โดยขณะนี้มีที่ดินพร้อมพัฒนาแล้ว 14 โครงการ ส่วนอีก 2 โครงการอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดิน ภายใต้งบลงทุนซื้อที่ดินใหม่ในปีนี้ 4.5 พันล้านบาท

บริษัทตั้งเป้าหมายยอดรับรูรายได้ในปีนี้ไว้ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท เติบโต 15% จากปีก่อน ซึ่งจะเป็นการรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมมากกว่าโครงการแนวราบ ปัจจุบันยอดขายรอโอน(backlog)โครงการคอนโดมิเนียมที่จะรับรู้รายได้ในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 7.1 พันล้านบาท และโครงการแนวราบ 1 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียมที่จะเปิดใหม่

ขณะที่ทั้งปีนี้ตั้งเป้ามียอดขาย 1.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้มียอดขายแล้ว 1.3 พันล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นโครงการแนวราบ

พร้อมกันนั้น บริษัทยังคงเป้าหมายรักษาอัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 40% โดยคอนโดมิเนียมมีมาร์จิ้นสูงกว่า เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงกว่า ส่วนโครงการแนวราบจะมีมาร์จิ้นที่ 39% โดยสัดส่วนรายได้ในปี 53 แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 54% แนวราบ 46% แต่ปีนี้จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากคอนโดมิเนียม แต่คงยังไม่ถึง 60%

ทั้งนี้ ในเดือน ก.พ.54 บริษัทมีการโอนโครงการซิตี้โฮม รัชดา และซิตี้โฮม ปิ่นเกล้า ประมาณ 40-50 ล้านบาท และไตรมาส 2/54 จะเริ่มโอนโครงการซิตี้โฮม รัตนาธิเบศน์ ,รามคำแหง มูลค่า 3 พันล้านบาท ซึ่งจะเป็นโอนต่อเนื่องถึงไตรมาส 3/54 ส่วนไตรมาส 4/54 จะมีการโอนโครงการพาร์คติวานนท์ มูลค่า 1.7 พันล้านบาท

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่มีแผนเปิดโครงการในตลาดต่างประเทศ แม้ว่าจะมีการศึกษาความเป็นไปได้ในประเทศใกล้เคียง แต่ขณะนี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยยังมีมาร์จิ้นที่ดี มีต้นทุนต่ำกว่าภูมิภาค และยังไม่มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องขยายตลาดต่างประเทศ แต่บริษัทเน้นการเติบโตในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล พร้อมกับขยายตลาดไปยังต่างจังหวัด โดยเฉพาะในหัวเมืองใหญ่มากขึ้น โดยปีนี้บริษัทลูกจะเปิดโครงการแนวราบในต่างจังหวัดมากขึ้นด้วย

ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ยังกังวลยังเป็นเรื่องการเมือง ค่าแรงงาน และราคาวัสดุก่อสร้าง แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่จะผลักภาระต้นทุนให้ผู้บริโภคได้ ขณะที่ราคาวัสดุก่อสร้างจะปรับเพิ่มขึ้น 3-5% แต่มีผลกระทบต่อต้นทุนของบริษัทประมาณ 2-3% เนื่องจากวัสดุก่อสร้างไม่ใช่ต้นทุนหลักเพียงอย่างเดียว ดังนั้น บริษัทมีแนวโน้มปรับขึ้นราคาขายบ้านมากสุดไม่เกิน 2-3%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ