ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (23 ก.พ.) ซึ่งเป็นการปิดลบติดต่อกัน 2 วันทำการ เนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองในลิเบียส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX พุ่งขึ้นแตะระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลในระหว่างวัน นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการร่วงลงอย่างหนักของหุ้นฮิวเลตต์-แพคการ์ด (เอชพี) หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในปีนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 107.01 จุด หรือ 0.88% ปิดที่ 12,105.78 จุด ดัชนี S&P 500 ร่วงลง 8.04 จุด หรือ 0.61% ปิดที่ 1,307.40 จุด และดัชนี Nasdaq ดิ่งลง 33.43 จุด หรือ 1.21% ปิดที่ 2,722.99 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.3 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 2 ต่อ 1
ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงอีกกว่า 100 จุดเมื่อคืนนี้ เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางที่หนุนราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลในระหว่างวัน ซึ่งทำให้หลายฝ่ายกังวลว่า ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก
สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของลิเบียลงสู่ระดับ BBB+ จากเดิม A- เนื่องจากสถานการณ์รุนแรงภายในประเทศส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 300 คน พร้อมกับเตือนว่า S&P อาจจะลดอันดับความน่าเชื่อถือของลิเบียลงอีกในช่วง 3 เดือนข้างหน้า หากสถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้นอีก
ลิเบียเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่อันดับที่ 15 ของโลก หรือคิดเป็นร้อยละ 2 ของผลผลิตน้ำมันโดยรวมทั่วโลก ซึ่งเหตุการณ์รุนแรงในลิเบียทำให้เทรดเดอร์วิตกกัววลว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อเส้นทางลำเลียงน้ำมันและสายการผลิตน้ำมันในลิเบีย และสถานการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลกระทบไปยังประเทศอื่นๆในภูมิภาคด้วย แม้สำนักงานพลังงานสากล (IEA) และซาอุดิอาระเบียออกมาแสดงความพร้อมที่จะระบายน้ำมันเข้าสู่ตลาดโลกเพื่อชดเชยภาวะอุปทานน้ำมันขาดแคลนอันเนื่องมาจากสถานการณ์รุนแรงในลิเบียก็ตาม
อย่างไรก็ตาม การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น โดยหุ้นเชฟรอนปิดพุ่ง 1.9% หุ้นเอ็กซอนโมบิลปิดบวก 1.9% ส่วนดัชนี S&P 500 หุ้นกลุ่มพลังงานทะยานขึ้น 2%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปิดร่วงอย่างถ้วนหน้า โดยหุ้นเอชพีปิดร่วง 9.6% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในปี 2554 ขณะที่หุ้นไดเร็คทีวี กรุ๊ป อิงค์ ปิดบวก 1.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยจำนวนลูกค้าพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในไตรมาส 4 ปี 2553 ส่วนหุ้นวอชิงตัน โพสต์ ปิดร่วง 5.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้สุทธิไตรมาส 4 ร่วงลง 3%
กระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในลิเบียได้ส่งผลบดบังรายงานของสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) ที่ระบุว่า ยอดขายบ้านมือสองเดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 2.7% แตะระดับ 5.36 ล้านยูนิต จากเดือนธ.ค.ปี 2553 ที่ระดับ 5.22 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 3 เดือน และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 5.24 ล้านยูนิต
นักลงทุนจับตาดูการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนม.ค., กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโกจะเปิดเผยดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจทั่วประเทศเดือนม.ค., กระทรวงพาณิชย์จะรายงานยอดขายบ้านใหม่เดือนม.ค. และสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์
ส่วนวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยการประมาณการตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 4/2553 ครั้งที่ 2 และมหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงท้ายเดือนก.พ.