นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ(BGH)เปิดเผยว่า การที่บริษัทเข้าซื้อหุ้น บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) ในสัดส่วน 11.1% เป็นการซื้อเพื่อลงทุนเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะเข้าไปเป็นกรรมการบริษัท และไม่มีนโยบายเข้าไปซื้อกิจการแบบไม่เป็นมิตร เพราะไม่มีแนวคิดที่จะควบรวมกิจการในระยะเวลาอันใกล้
"การซื้อหุ้น BH ได้แรงบันดาลใจมาจากกองทุนเทมาเสกที่ขายหุ้นออกมาในราคา 29 บาท เป็นจุดที่น่าสนใจ แต่เราซื้อในราคาแพงกว่านิดหน่อย แต่ยังถือว่าถูก หากขายตอนนี้ก็ยังมีกำไร และช่วงที่เข้าไปซื้อเป็นช่วงที่ต่างประเทศทิ้งหุ้นออกมามาก ขณะที่เห็นตัวเลขการเติบโตของบริษัทไปได้ดี เมื่อเห็นหุ้นถูกก็ซื้อไว้"นายแพทย์ปราเสริฐ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังตอบไม่ได้ว่าบริษัทจะซื้อหุ้น BH เพิ่มอีกหรือไม่ แต่บริษัทต้องการเป็นพันธมิตรกับ BH และก่อนหน้านี้ได้มีการหารือกับผู้ถือหุ้นใหญ่ของ BH มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่มีข้อสรุป ดังนั้น เมื่อมีจังหวะที่หุ้นราคาถูกจึงได้เข้าไปลงทุน ส่วนในอนาคตจะเป็นอย่างไรและจะมีแนวทางการควบรวมกิจการหรือไม่นั้น ขั้นแรกคงต้องรอให้การรับโอนกิจการจาก บมจ.เฮลท์ เน็ตเวิร์ค แล้วเสร็จก่อน เพื่อทำให้อันดับเครดิตดีและขอให้บริษัทมีฐานะมั่นคงก่อน
"ไม่ได้ดอดเข้าซื้อ ซื้อตรงๆ และไม่เคยคิดเทคโอเวอร์แบบไม่เป็นมิตร ในชีวิตไม่เคยทำ"นายแพทย์ปราเสริฐ กล่าว
นายแพทย์ปราเสริฐ กล่าวอีกว่า หลังการควบรวมกิจการกับเครือ รพ.เปาโล และ รพ.พญาไท เสร็จสิ้นแล้ว จะมีนโยบายเข้าไปขยายตลาดรักษาพยาบาลคนไข้ระดับล่างมากขึ้น ผ่านเครือข่าย รพ.เปาโล ที่เน้นการรองรับคนไข้ระดับล่าง และคนไข้ประกันสังคมเป็นหลัก พร้อมทั้งจะมีการเปิดคลีนิคในต่างจังหวัดมากขึ้น
ขณะที่ BGH เองยืนยันว่าไม่มีนโยบายปรับขึ้นค่าบริการรักษาพยาบาล แต่มีเป้าหมายที่จะลดค่าบริการให้เป็นไปตามกลไกตลาด เนื่องจากการที่บริษัทใหญ่ขึ้น ทำให้มีต้นทุนที่ถูกลง น่าจะทำให้สามารถลดค่าบริการลงได้ ส่วนหนึ่งอาจมีการกำหนดค่าบริการเป็นแพ็คเกจ ขณะที่ปกติการเติบโตของรายได้ของ BGH เฉลี่ยจะอยู่ที่ 10%ต่อปี แต่ เครือ รพ.เปาโล จะมีรายได้ที่เติบโตดีกว่า
สำหรับกระบวนการควบรวมกิจการกับ บมจ.เฮลท์ฯ คาดว่าจะแล้วเสร็จในกลางเดือน เม.ย.54 หลังจากนั้นจะมีการรวมผลประกอบการเข้ามาในเดือน เม.ย.ทันที ซึ่งในเชิงรายได้, กำไร, EBIDA, net income จะรวมเข้ามาทั้งหมด และจะทำให้กำไรต่อหุ้น (EPS) ของBGH เพิ่มขึ้นอีก 20% ซึ่งทำให้ทุกฝ่ายมีกำไรมากขึ้น ส่วนกระบวนการทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ เครือ รพ.พญาไท จะเริ่มดำเนินการได้ในเดือน พ.ค.54 และหลังกระบวนการควบรวมกิจการทั้งหมดจะทำให้ BGH มีจำนวนเตียงเป็น 4,500 เตียง คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดโรงพยาบาลเอกชน 15%