นายเอซ่า เฮสคาเน่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.โกลว์พลังงาน(GLOW) กล่าวว่า กลุ่มบริษัทมีแผนจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงขนาด 382 เมกะวัตต์ ในไตรมาส 3/54 ในขณะที่โรงไฟฟ้า IPP ที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงขนาด 660 เมกะวัตต์ จะเปิดดำเนินการในไตรมาส 1/55
เมื่อเดือนพ.ย. 53 บริษัทได้เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์โรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 115 เมกะวัตต์ ซึ่งถือเป็นโรงไฟฟ้าหน่วยแรกที่เริ่มดำเนินการตามแผนการเติบโตของกลุ่มบริษัท
โรงไฟฟ้าขนาด 115 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าขนาด 382 เมกะวัตต์มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม ในขณะที่โรงไฟฟ้าขนาด 660 เมกะวัตต์จะจำหน่ายไฟฟ้าที่ผลิตได้ทั้งหมดให้แก่ กฟผ. แสดงให้เห็นว่าไม่เพียงแต่กำลังการผลิตของกลุ่มบริษัทที่จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% แต่รวมถึงความสมดุลของการเติบโตระหว่างธุรกิจ IPP และธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ซึ่งจะเป็นการเพิ่มผลกำไรและความแข็งแกร่งทางธุรกิจให้แก่กลุ่มบริษัทต่อไป
ด้านนายสุทธิวงศ์ คงสิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการเงิน กลุ่ม GLOW กล่าวถึงผลประกอบการในปี 53 ว่า กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายภาษีเงินได้และค่าเสื่อมราคา(EBITDA) และกำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ (NNP) เมื่อเปรียบเทียบกับปี 52 เพิ่มขึ้น 16% และ 19% ตามลำดับ
"ผลประกอบการที่ดีขึ้นมาจากการเติบโตของความต้องการของลูกค้าอุตสาหกรรมและอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่น่าพอใจ การบันทึกรวมผลการดำเนินงานทั้งปีของบจ.ห้วยเหาะ พาวเวอร์ ในงบการเงินของบริษัท ที่บริษัทได้เข้าซื้อกิจการตั้งแต่กลางปี 2552 รวมถึงการเพิ่มขึ้นของ EBITDA แม้ว่าการแข็งค่าของเงินบาทโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งปีหลัง จะมีผลกระทบโดยตรงต่อรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. แต่ผลกระทบดังกล่าวก็มีไม่มากนักเนื่องจากกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่แข็งแกร่งของกลุ่มบริษัท"นายสุทธิวงศ์ กล่าว