นายธนชัย สันติชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป (NMG) เปิดเผยว่า ในปี 54 คาดว่ารายได้บริษัทจะเติบโต 10-15% มาจากรายได้ค่าโฆษณาเป็นหลัก เนื่องจากเศรษฐกิจไทยปีนี้ยังเติบโตได้ดี โดยสัดส่วนรายได้หลักยังมาจากสื่อสิ่งพิมพ์ (นสพ.เดอะเนชั่น นสพ.กรุงเทพธุรกิจ และ นสพ.คมชัดลึก) 72% ที่เหลือเป็นรายได้จากธุรกิจหนังสือ ธุรกิจทีวี และธุรกิจดิจิตอล
ส่วนกำไรสุทธิในปีนี้จะสูงกว่าปี 53 ที่มีกำไรสุทธิ 314 ล้านบาทหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่ามีรายการพิเศษบันทึกเป็นรายได้อีกหรือไม่ ขณะนี้จึงไม่สามารถคาดการณ์ได้
นายธนชัย กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมีการลงทุนในธุรกิจด้านการศึกษา โดยจัดตั้ง บริษัท เนชั่น ยู จำกัด เป็นการร่วมทุนกับมหาวิทยาลัยเอเซียอาคเนย์ โดย NMG ถือหุ้น 55% และ ม.เอเซียอาคเนย์ ถือหุ้น 45% เข้าเป็นผู้ถือใบอนุญาตประกอบกิจการของมหาวิทยาลัยโยนก โดยใช้เงินลงทุนทั้งหมด 250 ล้านบาท ทยอยจ่ายเป็นเวลา 7 ปี โดยงวดแรกจ่าย 10 ล้านบาท มาจากกระแสเงินสดของบริษัท คาดว่าการลงทุนดังกล่าวจะคืนทุนได้ภายในเวลา 3-4 ปี จากการที่มีจำนวนนักศึกษาที่มีเพิ่มขึ้น
สำหรับจุดแข็งของบริษัท ในระยะ 5-10 ปี ยังเน้นข่าวสารความรู้ และบันเทิงแบบมีสาระ และรายได้หลักยังมาจากโฆษณาบนหน้าหนังสือพิมพ์ที่คาดว่ายังเติบโตต่อเนื่อง แม้กระแสดิจิตอลจะมาแรง แต่ยังไม่กระทบยอดขายให้หนังสือพิมพ์ลดลง ขณะเดียวกันบริษัทต้องมีการปรับตัวและส่งเสริมการตลาดอย่างสม่ำเสมอ
ส่วนปัจจัยเสี่ยงทางธุรกิจ ยังเป็นเรื่องการเมือง เพราะหากการเมืองไม่นิ่งจะกระทบเศรษฐกิจ แต่หากเป็นการเลือกตั้งปกติ คงไม่สร้างปัญหา ยกเว้นกรณีมีการประท้วงเหมือนต่างประเทศ หรือการชุมนุมในประเทศก่อนหน้านี้ ที่กระทบเศรษฐกิจได้ ส่วนดอกเบี้ยขาขึ้น และอัตราแลกเปลี่ยน เป็นความเสี่ยงที่ควบคุมได้
ขณะที่ราคากระดาษในตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน แม้ว่าจะเป็นปัจจัยเสี่ยง แต่มองว่าเป็นผลกระทบระยะสั้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสต็อคกระดาษ 3-4 เดือน ต้นทุนราคากระดาษประมาณ 600-640 ดอลลาร์/ตัน ขณะนี้แนวโน้มราคากระดาษที่สูงขึ้น แต่คาดว่าไม่เกิน 700 ดอลลาร์/ตัน ดังนั้น ต้นทุนกระดาษเฉลี่ยปีนี้น่าจะอยู่ที่ 650 ดอลลาร์/ตัน จึงไม่มีผลกระทบมาก และเงินบาทที่แข็งค่าช่วยลดภาระการนำเข้าได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทยังไม่มีนโยบายปรับขึ้นค่าโฆษณา แต่อาจมีการพิจารณาขึ้นอยู่กับภาวะตลาด
ปัจจุบัน บริษัทมีขาดทุนสะสมจำนวน 790 ล้านบาท ไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะล้างหมดได้เมื่อไร แต่หากจะนำผลการดำเนินงานมาล้างขาดทุนสะสมต้องใช้เวลาอีกระยะ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับมติคณะกรรมการบริษัท