(เพิ่มเติม) PTT คาด บ.ใหม่หลังควบรวม PTTAR-PTTCH รายได้แตะ 4 แสนลบ.-กำไรสวย

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday February 25, 2011 13:16 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.(PTT) กล่าวว่า การควบรวมกิจการของบมจ.ปตท.เคมีคอล (PTTCH) กับ บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น(PTTAR)เพื่อจัดตั้งเป็นบริษัทใหม่จะทำให้บริษัทใหม่มีรายได้สูงถึง 4 แสนล้านบาทในปีนี้ และคาดว่ากำไรในปีนี้ก็จะเพิ่มขึ้นแน่นอน โดยจากการ Synergy จะทำให้ EBITDA เพิ่มขึ้นอีก 80-150 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี

อนึ่ง ปี 53 ทั้งสองบริษัทมีรายได้รวมกัน 3.7 แสนล้านบาทและมีกำไรรวมกัน 1.6-1.7 หมื่นล้านบาท

ขณะเดียวกัน บริษัทใหม่ก็จะมีโครงการลงทุนเพิ่มเติม 92 ล้านเหรียญ ซึ่งจะมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงการลดต้นทุนค่าใช้จ่าย

นายประเสริฐ กล่าวว่า การควบรวมกิจการทั้งสองบริษัทจะทำให้มีกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีรวม 8.2 ล้านตันต่อปี และกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมรวม 2.28 แสนบาร์เรลต่อวัน ซึ่งจะเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นครบวงจร ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในไทย และเป็นบริษัทชั่นนำหรืออันดับที่สองในภูมิภาคอาเซียน

อีกทั้งจะทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาเก็ตแคป)ขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือประมาณ 3 แสนกว่าล้านบาท รองจากหุ้น PTT , PTTEP และ SCC และจะทำให้เป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนต่างประเทศ และในประเทศ ขณะที่ PTT ในฐานะบริษัทแม่ของทั้งสองบริษัทก็จะคงถือหุ้นในบริษัทใหม่ ในสัดส่วนใกล้เคียงของเดิม โดยปัจจุบันถือใน PTTAR สัดส่วน 48.6% และ ถือหุ้นใน PTTCH สัดส่วน 48.9%

นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน PTT กล่าวเสริมว่า PTT จะเข้าถือหุ้นบริษัทใหม่หลังการควบรวมในสัดส่วน 48-50% แต่หากผู้ถือหุ้นของ PTTAR และ PTTCH จะไม่ขายคืน PTT ก็พร้อมจะสนับสนุนในการรับซื้อคืนผู้ที่ไม่เห็นด้วย โดยจะรับซื้อหุ้น PTTCH ในราคาไม่เกิน 150 บาท/หุ้น และรับซื้อหุ้น PTTAR ในราคาไม่เกิน 39 บาท/หุ้น แต่ต้องได้รับมติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ PTT ก่อน แต่ในความเป็นจริง ผู้ถือหุ้นทั้งสองบริษัทคงจะขายในตลาดออกไปมากกว่า

ด้านนายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTCH กล่าวว่า การที่สองบริษัทได้ควบรวมกันจะทำให้บริษัทใหม่มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีทั้งสายโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ เป็นการสร้างความสามารถในการแข่งขันและลดความเสี่ยงจาการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจปิโตรเคมี รวมทั้งยังเปิดโอกาสธุรกิจในอนาคต จะทำให้รายได้และผลประกอบการในอนาคตได้มั่นคงและไม่ผันผวนมากเกินไป และสามารถต่อยอดผลิตภัณฑ์ต่างๆได้จากการรวมธุรกิจ(Synergy)

นายบวร วงศ์สินอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTAR กล่าวว่าจากการควบรวมกิจการจะทำให้มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นจำนวน 535 - 1,055 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงระยะเวลา 15 ปี ( ณ อัตราคิดลด 10%) และยังดำเนินการแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ระหว่างกันประมาณ 7.65 แสนตันต่อปี

ทั้งนี้ การจัดสรรหุ้นของบริษัทใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นของ PTTAR และ PTTCH มีอัตราส่วน คือ 1 หุ้นเดิมใน PTTAR ต่อ 0.501296791 หุ้นในบริษัทใหม่ และ 1 หุ้นเดิม ใน PTTCH ต่อ 1.980122323 หุ้นในบริษัทใหม่ หรือคิดเทียบเป็นเท่ากับการแลกหุ้น 1 หุ้น PTTCH ต่อ 3.95 หุ้น PTTAR

การดำเนินการควบรวมบริษัทน่าจะแล้วเสร็จและสามารถนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ภายในไตรมาส 3/54 หรือเดือน ส.ค.-ก.ย.54 หลังจากนี้จะมีการนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุน (Roadshow) ในเดือน ก.พ.-มี.ค. 54 และในวันที่ 21 เม.ย.54 จะมีการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อขอมติอนุมัติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 75% ของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียง และให้เวลาอ 2 เดือน ช่วงเม.ย.- มิ.ย.54 สำหรับเปิดโอกาสให้เจ้าหนี้คัดค้าน โดยเงินกู้ของทั้งสองบริษัทอยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว

*จะรวม IRPC ขอศึกษาก่อน

นายประเสริฐ กล่าวว่า การควบรวมกิจการอีก 2 บริษัท คือ บมจ.ไออาร์ซีพี (IRPC) และ บมจ.ไทยออยล์(TOP) นั้น ยังอยู่ในแผนโดยจะควบรวมกิจการของ IRPC ก่อนซี่งมีโรงงานอยู่ในพื้นที่เดียวกันที่จ.ระยอง อย่างไรก็ตาม การควบรวมกิจการต้องทำทีละขั้นตอน หลังจากควบรวมกิจการของ PTTAR และ PTTCH แล้วเสร็จ ก็จะมีการศึกษาการควบรวมกิจการ IRPC ต่อไป

"อนาคตอยู่ที่ผลการศึกษา และผลการควบรวมกิจการ PTTAR และ PTTCH ถ้ารวมอีกบริษัทหนึ่งอาจจะเร็วเกืนไป"นายประเสริฐ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ