บมจ.ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น(SYMC) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนขยายงานต่อเนื่อง หลังจากปีก่อนนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานไปลงทุนขยายโครงข่ายเพิ่มเติม ทำให้อุปกรณ์โครงข่าย-สุทธิ ณ สิ้นปี 53 มีมูลค่ารวม 503.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112.53 ล้านบาท จากสิ้นปี 52
ขณะนี้บริษัทฯได้วางโครงข่ายหลักเพื่อขยายพื้นที่ให้บริการแล้วในเขตนิคมอุตสาหกรรม 6 แห่ง และมีแผนที่จะขยายพื้นที่ให้บริการในเขตนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มอีก 5 แห่ง รวมทั้งได้เพิ่มพื้นที่บริการวงจรสื่อสารแบบ Ready Ethernet ในตัวอาคารจากเดิม 28 แห่งเป็น 30 อาคารแห่ง และมีแผนการที่จะขยายพื้นที่ให้บริการในอาคารเพิ่มขึ้นอีก 53 แห่งในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้รายได้ของบริษัทฯซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของค่าเช่าวงจรจะสามารถเติบโตในระดับ 15-20% ตามเป้าหมายที่วางไว ได้
ส่วนผลประกอบการปี 53 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 577.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.27 ล้านบาท หรือ 5.92% เมื่อเทียบกับปี 52 ที่มีรายได้ 545.16 ล้านบาท รายได้หลักมาจากค่าเช่าวงจรอยู่ที่ 536.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58.15 ล้านบาท หรือ 12.17% เมื่อเทียบกับปี 52 ซึ่งอยู่ที่ 477.89 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิทั้งปี 53 อยู่ที่ 198.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.07 ล้านบาท หรือ 3.16% คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 34.34% เมื่อเทียบกับปี 52 ซึ่งกำไรสุทธิอยู่ที่ 192.24 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 35.26%
นายกรัณย์พล อัศวสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ SYMC กล่าวว่า รายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากการให้บริการวงจรประเภท Metro Ethernet และ Ready Ethernet ซึ่ง Ethernet เป็นเทคโนโลยีวงจรสื่อสารที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ราคาไม่สูง สามารถสนองตอบต่อความต้องการขององค์กรธุรกิจที่มีความจำเป็นในการรับ-ส่งข้อมูลปริมาณมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความต้องการใช้งานวงจรสื่อสารความเร็วสูงเพิ่มขึ้นทั้งในด้านจำนวนวงจรและ Bandwidth
ประกอบกับบริษัทฯ ได้ขยายพื้นที่ในการให้บริการและพัฒนาคุณภาพโครงข่ายโดยตลอดเพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าให้ได้มากขึ้น และในปี 2553 นี้บริษัทฯ ได้รับเลือกให้เป็นผู้เข้ารอบสุดท้าย (Finalists) เป็นปีที่ 4 ติดต่อกันในการประกวด MEF Awards for the Asia-Pacific Carrier Ethernet Service Provider of the Year
“รายได้ค่าเช่าวงจรที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการที่บริษัทฯ สามารถขยายฐานลูกค้าและพื้นที่การให้บริการเพิ่มขึ้น พร้อมกับการรักษาคุณภาพการให้บริการในระดับพรีเมี่ยม การหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆที่ยังไม่ได้มีการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง รวมถึงการพยายามควบคุมโครงสร้างต้นทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อรักษาระดับอัตรากำไร แม้จะมีค่าใช้จ่ายพิเศษเกิดขึ้นในรอบปีที่ผ่านมาก็ตาม โดยสามารถรักษากำไรสุทธิไว้ที่ระดับ 34.34% และมีการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่องตลอดมา" นายกรัณย์พล กล่าว