นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บมจ. ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทจะให้ความสำคัญกับการลดภาระหนี้ และการลดต้นทุน เนื่องจากหลังการซื้อ MW Brands ทำให้บริษัทมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)เพิ่มขึ้น จากเดิมในไตรมาส 3/53 ที่ระดับ 0.72 เท่า ขึ้นมาเป็นระดับ 1.6 เท่า ให้ลดลงมาสู่ระดับปกติที่ 1:1 ภายใน 3 ปี
ดังนั้น บริษัทจึงต้องมีการกำหนดแผนการดำเนินงานให้มีความเข้มขึ้นมากกว่าเดิม ซึ่งในปี 54 มีความจำเป็นต้องปรับนโยบายการจ่ายเงินปันผลใหม่ โดยกำหนดจ่ายไม่เกิน 1,200 ล้านบาททั้งปี ซึ่งจะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เมื่อสัดส่วนหนี้สินต่อทุนกลับลงมาอยู่ในระดับปกติอีกครั้ง บริษัทก็จะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในอัตราเดิมคือ ไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ
"บริษัทมีแผนจะลดหนี้ให้กลับมาอยู่ในระดับปกติ 1:1 ภายใน 3 ปี อย่างไรก็ดี เรามั่นใจว่า สิ่งที่บริษัทดำเนินการนั้น ในระยะยาวจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกับผู้ถือหุ้นและนักลงทุนได้อย่างแน่นอน"นายธีรพงศ์ กล่าว
ประธานกรรมการบริหาร TUF กล่าวว่า ในช่วงต้นปี 54 แนวโน้มสถานการณ์ต่างๆ เหล่านี้ เริ่มมีสัญญาณที่ดี บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น ซึ่งบริษัทมีความเชื่อมั่นว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 54 นี้จะดีกว่าปี 53 อย่างแน่นอน เนื่องจากในปีนี้บริษัทจะเริ่มได้รับผลประโยชน์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการซื้อกิจการ MW Brands
สำหรับผลประกอบการปี 53 บริษัทมีรายได้จากการขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐเท่ากับ 2,268 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปี 52 ที่มีรายได้เท่ากับ 2,014 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนรายได้จากการขายในรูปเงินบาทตลอดทั้งปีเท่ากับ 71,507 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับปีก่อน ที่มีรายได้เท่ากับ 68,995 ล้านบาท ขณะเดียวกันรายได้รวมของทั้งปีก็เพิ่มขึ้น 4% เช่นเดียวกัน จาก 69,697 ล้านบาทในปี 52 เป็น 72,810 ล้านบาทในปี 2553
ในส่วนของกำไรสุทธิทั้งปี บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 2,874 ล้านบาท ลดลง 14% เมื่อเทียบกับปี 52 ที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 3,344 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นทั้งปีเท่ากับ 3.15 บาท