หุ้น IRPC ราคาขยับขึ้น 2.70% มาอยู่ที่ 5.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.15 บาท มูลค่าซื้อขาย 256.81 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.15 น. โดยเปิดตลาดที่ 5.60 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 5.70 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 5.60 บาท
บล.เอเชียพลัส ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ไออาร์พีซี(IRPC)ประเมินมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2554 โดยวิธี DCF เท่ากับ 6.18 บาทต่อหุ้น โดยเน้นเข้าลงทุนเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว เนื่องจากยังมีมุมมองบวกต่อสถานการณ์ธุรกิจปิโตรเคมีที่สดใสนับจากนี้ และจะสามารถเข้าสู่ช่วง Peak ได้ในปี 2555 และการเดินหน้าแผน Phoenix ที่จะพัฒนาสินทรัพย์ที่มีอยู่ทั้งหมดให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้ IRPC ได้อย่างมีนัยฯในอนาคต
นอกจากนี้ IRPC ยังประกาศจ่ายปันผลสำหรับงวด 2H53 ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท (งวด 1H53 จ่าย 0.08 บาท) คิดเป็น Dividend Yield สำหรับงวดครึ่งหลังที่ 1.8% กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 18 เม.ย. 2554 และทำการจ่ายปันผลในวันที่ 4 พ.ค. 2554
IRPC ยังคงเดินหน้าเต็มที่สำหรับโครงการ Phoenix โดยล่าสุดคณะกรรมการบริษัทฯได้อนุมัติโครงการใหญ่อีก 1 โครงการได้แก่ การเพิ่มกำลังการผลิต Propylene อีก 2.37 แสนตันต่อปี ด้วยเงินลงทุน 878 ล้านเหรียญฯ (คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนถึง 3.7 พันเหรียญฯต่อตัน) คาดจะแล้วเสร็จในปี 2557 ซึ่งจะส่งผลให้กำลังการผลิต Propylene ของ IRPC จะเท่ากับ 6.49 แสนตันต่อปี (รวมโครงการ Propylene Booster กำลังการผลิต 1 แสนตันต่อปี ซึ่งไม่ได้อยู่ในโครงการ Phoenix แต่เดินหน้าไปแล้วกว่า 30% คาดจะแล้วเสร็จในงวด 2Q55) ซึ่งเป้าหมายของการเพิ่มกำลังการผลิต Propylene ในหลายโครงการมาจากในปัจจุบัน IRPC ต้องนำเข้า Propylene เพื่อนำมาผลิต Polypropylene (PP) กำลังการผลิต 4.75 แสนตันต่อปี
ทั้งนี้ มีมุมมองที่เป็นบวกต่อการขยายการลงทุนในผลิตภัณฑ์ Propylene ถึงแม้ต้นทุนการก่อสร้างจะค่อนข้างสูง แต่เชื่อว่าจะคุ้มค่ากับการลงทุนในระยะยาว เพราะ Supply Propylene ในโลกยังไม่เพียงพอกับความต้องการ จึงทำให้แนวโน้มราคาผลิตภัณฑ์ขั้นต้น Propylene รวมถึงขั้นปลาย Polypropylene (PP) ยังสามารถยืนในระดับสูงได้ต่อเนื่อง
หากพิจารณาผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการ Phoenix ในปี 2554 จากการนำเสนอของทางบริษัทฯ จำนวน 2.6 พันล้านบาท พบว่าได้รวมอยู่ในสมมติฐานและประมาณการปี 2554 แล้ว เพราะโครงการที่จะสร้างมูลค่าในปี 2554 ส่วนใหญ่ดำเนินการมาแล้วตั้งแต่ปีที่ผ่านมา อาทิ การปรับปรุง Supply Chain รวมถึงการพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินการ
โดยคาดแนวโน้มกำไรปี 2554 ยังเติบโตต่อเนื่องอีกราว 34%yoy โดยปัจจัยผลักดันหลักยังคงมาจากแนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมีที่เริ่มทยอยฟื้นตัว ส่งผลให้ Spread ผลิตภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคาผลิตภัณฑ์ขั้นปลายPolypropylene รวมถึงผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกชนิดพิเศษได้แก่ ABS และ EPS ยังคงเดินหน้าทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อแนวโน้มกำไรในงวด 1Q54