นายพิธาน องค์โฆษิต รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.เคซีอี อีเลคโทรนิคส์(KCE)เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขาย 270 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 15-20% จากปีก่อนที่มียอดขาย 229.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เป็นลูกค้าหลักที่ในปีนี้คาดว่าจะเติบโต 10-15% จากแนวโน้มที่ผู้ผลิตรถยนต์แต่ละรายมีแผนจะเปิดตัวรถยนต์โมเดลใหม่เพิ่มขึ้น
บริษัทคาดว่าปีนี้จะมีลูกค้ารายใหม่ในอุตสาหกรรมยานยนต์เพิ่มขึ้น 5-6 ราย และบริษัทเตรียมขยายฐานลูกค้าไปยังนอกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์มากขึ้น โดยจะเน้นไปที่กลุ่มอุตสาหรรมไอทีที่มีความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่เป็นจุดแข็งของบริษัท จากปัจจุบันลูกค้าในกลุ่มยานยนต์อยู่ที่ 60% และนอกกลุ่ม 40%
นอกจากนั้น บริษัทยังจะเน้นการผลิตสินค้าที่มีความไฮเทคมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่ต้องใช้เทคโนโลยีการยิงเลเซอร์ในการกระบวนการผลิต เนื่องจากเป็นสินค้าที่อัตรากำไร(มาร์จิ้น)สูงกว่าชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ในยานยนต์ประมาณ 50-70% แต่ก็มีข้อเสียตรงที่เป็นสินค้าที่ผลิตให้ได้ดียาก ควบคุมคุณภาพยาก มีรายละเอียดสูง หากผลิตไม่ดีก็จะมีของเสียค่อนข้างมาก ซึ่งทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นด้วย
"กลยุทธในปีนี้จะพยายามมองหาลูกค้าใหม่ ๆ ซึ่งในกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์บริษัทก็ถือว่าเป็นอันดับ 3 ของโลก ความต้องการก็มีเพิ่มขึ้น และมีลูกค้าเข้ามาคุยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มองว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ออร์เดอร์ค่อนข้างนิ่ง และแม้ว่าช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ยอดขายหรือออร์เดอร์จะลดลง แต่บริษัทก็ไม่ถึงขั้นต้องปรับราคาขายลง"นายพิธาน กล่าว
นายพิธาน กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทมีแนวคิดที่จะสร้างโรงงานใหม่เพิ่มอีก 1 แห่งเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 2 พันล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50% จากปัจจุบัน 2.1 ล้านตารางฟุต/ปี โดยน่าจะเริ่มสร้างและผลิตอย่างเร็วที่สุดภายในไตรมาส 2/55 โดยแบ่งเป็น 2 เฟส เฟสแรกลงทุน 1.2-1.3 พันล้านบาท กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 25% เป็น 2.5 ล้านตารางฟุต ใช้เวลาก่อสร้าง 9-12 เดือน
สำหรับเงินลงทุนจะมาจากเงินกู้และเงินทุนจากการดำเนินงานอย่างละครึ่ง ขณะนี้บริษัทมีพื้นที่อยู่แล้วข้างโรงงานแม่ที่ลาดกระบัง และที่ดินในพื้นที่ใกล้เคียงกับ รง.อยุธยา ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาพื้นที่ตั้งที่เหมาะสม
พร้อมกันนั้น บริษัทยังมีแผนปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของโรงงานที่ จ.อยุธยา ทั้งการบริหารจัดการบุคลากร ควบคุมต้นทุน จัดการเทคโนโลยีและลดของเสียเพื่อทำให้กำไรเพิ่มขึ้น โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้าอัตรากำไรสุทธิ 9% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 7.4% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้น่าจะอยู่ที่ 22-23% จากปี 53 ที่อยู่ในระดับ 20%
นายพิธาน ยังเปิดเผยอีกว่า บริษัทมีแผนจะแปลงหนี้ระยะยาวจากสกุลเงินบาทเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐ 1.0-1.5 พันล้านบาท เพื่อลดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ปัจจุบัน บริษัทมีมูลหนี้รวม 4.9 พันล้านบาท ซึ่ง 18% เป็นหนี้ระยะยาว ส่วนหนี้ระยะสั้นที่มีอยู่ 2.4 พันล้านบาท สามารถแปลงเป็นสกุลดอลลาร์ได้ทันทีจากการดำเนินงานที่มีต้นทุนและยอดขายบันทึกเป็นสกุลดอลลาร์
ก่อนหน้านี้คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติแนวทางการแปลงหนี้ดังกล่าวแล้ว โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับธนาคาร 7 แห่ง คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงไตรมาส 2/54 จากนั้นจะนำเสนอผลการเจรจาให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทพิจารณาอีกครั้ง
สำหรับปัจจัยเสี่ยงหลัก คือ เรื่องค่าเงินบาทที่มีความผันผวน ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบสำคัญ คือ ทองแดงแม้ว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้น แต่คู่แข่งก็ต้องขึ้นราคาสินค้าเหมือนกันและลูกค้าก็เข้าใจธรรมชาติของสินค้า ปัจจุบัน ราคาทองแดงปรับขึ้นมาอยู่ที่ 9,800 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งในปีนี้ราคาทองแดงเฉลี่ยน่าจะอยู่ในช่วง 9.5 พันเหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากซัพพลายในตลาดโลกเพิ่มมากขึ้นแล้ว
นายพิธาน กล่าวว่า บริษัทมีแผนจะออกไปโรดโชว์ร่วมกับโบรกเกอร์เพื่อนำเสนอข้อมูลให้นักลงทุนต่างประเทศ ขณะนี้มีนักลงทุนสถาบันให้ความสนใจตัวบริษัทมากขึ้น ทั้งสถาบันในและต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้รอจะปรับปรุงประสิทธิภาพโรงงานลูกให้ดีขึ้นก่อน