นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ซีฟโก้ (SEAFCO) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ในปี 54 บริษัทคาดว่าจะสามารถพลิกกลับมีกำไรได้หลังจากปี 53 ประสบผลขาดทุนถึง 58.88 ล้านบาท
ในส่วนรายได้คาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.6 พันล้านบาท จากปีก่อนที่ทำได้ 1.45 พันล้านบาทพลาดจากเป้าหมาย เนื่องจากปี 53 บริษัทมีการตั้งสำรองหนี้สูญประมาณ 10 ล้านบาท และมีงานเก่าซึ่งเป็นงานโยธาที่ได้มาริ์จิ้นต่ำ ขณะที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ่นในช่วงปลายปีที่แล้วส่งให้ราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูง
"ในปี 54 ก็น่าจะดูดี เพราะโครงการไม่ดีก็หมดไปแล้ว ถ้าไม่ดีเราคงไม่เสี่ยงตั้งสำรอง เพราะไม่อย่างนั้นจะ Turn around ลำบาก คิดว่าปีนี้จะ Turn around ได้"นายณรงค์ กล่าว
บริษัทคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)ในปี 54 น่าจะสูงกว่าปีก่อน หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 12% จากปีก่อนที่ 7-8% เพราะปีก่อนมีงานโยธาที่เป็นงานมาร์จิ้นต่ำเข้ามามาก คิดเป็นสัดส่วนรายได้ในปีก่อนถึง 60% ขณะที่งานเจาะเสาเข็มมีสัดส่วน 40% ซึ่งเป็นงานที่มาร์จิ้นสูงราว 15-16% อย่างไรก็ตาม ในปี 54 งานโยธาจะกลับสัดส่วนกันโดยลดลงมาเป็น 40% และงานเจาะเสาเข็มอยู่ที่ 60%
"ปีก่อนบริษัทได้งานโยธา เช่น งานสร้างถนน เข้ามามากประมาณ 1-2 พันล้านบาท จำนวน 3-4 โครงการ แต่ได้ราคาไม่ค่อยดี ทำให้มาร์จิ้นต่ำมาก แต่บริษัทจำเป็นต้องรับงาน เพราะต้องการผลงานเพื่อจะได้ขยายงานได้ในอนาคต แต่ก็มีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้น"นายณรงค์ กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ(backlog)ที่ค้างมาจากปีก่อนกว่า 200 ล้านบาท และในปีนี้คาดว่าจะมีงานใหม่เข้ามาประมาณ 1 พันล้านบาท ได้แก่ งานรถไฟฟ้าต่อเนื่องทั้งสายสีม่วงและสายสีน้ำเงิน รวมทั้งงานอาคารคอนโดมิเนียม ซึ่งในปี 5 บริษัทได้รับงานใหม่ราว 1,100 ล้านบาท ซึ่งเป็นงานรถไฟฟ้าสายสีม่วง โดยปีนี้แนวโน้มงานจะมากกว่าปีที่แล้วทั้งจากงานภาครัฐและเอกชน
นายณรงค์ กล่าวว่า ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นในขณะนี้ทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นตามไปด้วย แต่บริษัทจะไม่มีการเก็บสต็อกวัสดุก่อสร้างไว้ล่วงหน้า โดยจะผลักภาระราคาที่ปรับสูงขึ้นไปกับมูลค่างานตามภาวะตลาด ขณะเดียวกัน ระยะเวลาทำงานในแต่ละสัญญามีเวลาประมาณ 3 เดือนเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องสต็อกไว้