บมจ.ปตท เคมิคอล (PTTCH) ควบรวมกิจการกับ บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น(PTTAR)คาดดีลแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3/54 หรือประมาณเดือน ส.ค.54 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สอดรับกับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจะกลับด้านเป็นขาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผู้บริหารเชื่อเป็นการสร้างโอกาสได้ถูกจังหวะ และจะยิ่งช่วยทำสร้างอัตรากำไรของบริษัทใหม่หลังควบรวมจะยิ่งดีขึ้น
นายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี PTTCH เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ปีหน้า(55)ไปจนอีก 4-5 ปี จะยังไม่มีกำลังการผลิตใหม่ของโอเลฟินส์ขนาดใหญ่เข้ามาในตลาด หลังจากที่กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง และจีน มีกำลังการผลิตใหม่ออกมาค่อนข้างมากในช่วงปี 51-53 และทุกรายยังรอดูสถานการณ์ จึงยังไม่มีใครประกาศขยายกำลังการผลิตใหม่ หรือวางแผนขยายแต่อย่างใด
ขณะที่ความต้องการโอเลฟินส์ เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 4% จากกำลังการผลิตทั้งหมด 140 ล้านตันในสิ้นปี 53 โดยปัจจุบันความต้องการกับกำลังการผลิตมีปริมาณใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะความต้องการหลักมาจากจีน และ อินเดีย ซึ่งมีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้ว
"ธุรกิจโอเลฟินส์อยู่ในช่วง up cycle คิดว่าประมาณสิ้นปีนี้คงจะเริ่มเห็นว่าโอเลฟินส์จะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ โดยอดีตจะมี cycle 3-4 ปี แต่ครั้งนี้ไม่แน่ใจว่า up cycle ที่กำลังจะมาจะยาวกว่านั้น"นายปฏิภาณ กล่าว
"ยิ่งการควบรวมระหว่างกัน PTTCH กับ PTTAR และอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างน้อย สามารถสร้างอัตรากำไรได้ดียิ่งขึ้นไปอีก เพราะการควบรวมนอกเหนือจากจะได้ประโยชน์ปีละ 80-150 ล้านเหรียญ ยังมีประโยชน์ที่ยังไม่ได้พูดถึงว่าการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อให้ประโยชน์สุงสุดระหว่างผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ กับโอเลฟินส์" นายปฏิภาณ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
การควบรวมกิจการระหว่าง PTTCH และ PTTAR จะเป็นการเปิดโอกาสให้ไปสู่ธุรกิจปลายน้ำ(down stream) มากขึ้นและง่ายขึ้น และทำให้ปิดข้อจำกัดเรื่อง Feed stock , เทคโนโลยี และ การตลาด และเปินการเปิดโอกาสให้มีผู้อยากเข้าร่วมทุนกับบริษัทใหม่มากขึ้น
ส่วนแผนกลยุทธ์ในบริษัทใหม่ เป็นสิ่งที่ทั้งสองบริษัทต้องกลับมากำหนดยุทธศาสตร์กันใหม่ หลังจากเงื่อนไข สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป คงต้องมีการปรับปรุงหรือทบทวนโครงการที่กำลังจะดำเนินการ และต้องจัดลำดับความสำคัญโครงการกันใหม่
ขณะเดียวกัน ฐานะการเงินก็แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นหลังจากควบรวมกิจการกัน โดยบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ได้แก่ S&P , Moody และ FITCH ต่างได้ปรับอันดับความน่าเชื่อถือหลังบริษัทควบรวมกับ PTTAR เป็นไปในทิศทางบวก เพราะมี Financial Ratio ดีขึ้น หลังควบรวมและจัดตั้งเป็นบริษัทใหม่
ทั้งนี้ บริษัทได้จัดหาวงเงินกู้ 1.7 หมื่นล้านบาทเพื่อนำไปรีไฟแนนซ์หนี้ โดยเฉพาะเพื่อกระจายความเสี่ยงการคืนเงินกู้ ที่ในปี 56 บริษัทมีภาระจ่ายคืน 9 พันล้านบาท และในปี 58 ต้องจ่ายคืน 1.6 หมื่นล้านบาท แต่เมื่อมีวงเงินกุ้ใหม่จะช่วยผ่อนให้การชำระหนี้เบาขึ้นหรือแบ่งจ่ายคืนหนี้เท่ากันทุกปี ๆละ 6 พันล้านบาท ภายใน 8 ปี
ขณะที่ PTTAR ได้จัดวงเงิน Revolving เตรียมไว้ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ทำให้ฐานะการเงินเมื่อรวมกันเป็นบริษัทใหม่ไม่มีปัญหาในอนาคต
*Q1/54 รายได้กำไรดีกว่า Q1/53
นายปฏิภาณ คาดว่า รายได้และกำไรในไตรมาส 1/54 จะสูงกว่าไตรมาส 1/53 เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ดีขึ้น โดยเฉพาะเม็ดพลาสติก HDPE ประกอบกับ บริษํทมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามา ทั้งโอเลฟินส์และเม็ดพลาสติก LDPE
"รายได้และกำไรในไตรมาสแรกนี้ดีขึ้นมาก ราคาผลิตภัณฑ์ดีขึ้นกว่าที่คาดไว้ ...เราคิดว่า EBITDA Margin ในไตรมาสนี้จะอยู่ประมาณ 20% ใกล้เคียงกับไตรมาส 1 ปีก่อน แต่ปีนี้วอลุ่มเราเพิ่มขึ้นมา" นายปฏิภาณ
แต่ในช่วงไตรมาส 2/54 ยังไม่แน่ใจว่าราคาผลิตภัณฑ์จะยังคงดีอย่างต่อเนื่องหรือไม่ เนื่องจากว่าจะมีกำลังการผลิตใหม่อีก 5 แสนตันทยอยเข้ามาในตลาดโลก และช่วงไตรมาส 2 ของปีปกติจะมียอดขายจะลดลงจากไตรมาสแรกด้วย