นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงมีนโยบายออกกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะมีกองทุนใหม่ออกมาอีก 3 กองทุน มีระยะเวลาลงทุน 3-6 เดือน ส่วนนโยบายการลงทุนจะมีให้เลือกทั้งที่เป็นเงินฝากธนาคารต่างประเทศผสมกับ ตราสารหนี้ระยะสั้นภายในประเทศไทยเพื่อเพิ่มผลตอบแทนกับกองทุนที่ลงในตราสารหนี้ระยะสั้นภายในประเทศอย่างเดียว โดยจะเสนอขายนับจากวันนี้ไปจนถึงวันที่ 14 มีนาคม 2554 ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 10,000 บาท
ในจำนวนดังกล่าวมี 2 กองทุนที่มีมูลค่ากองทุนละ 5,000 ล้านบาท ที่เป็นการผสมเงินฝากธนาคารต่างประเทศกับตราสารหนี้ในประเทศ ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ 6M10 (SCBFI6M10) อายุ 6 เดือน คาดผลตอบแทนประมาณ 2.75% ต่อปี มีนโยบายการลงทุนในเงินฝากธนาคารบาร์เคลย์ หรือ ธนาคาร HSBC หรือธนาคาร National Bank of Abu Dhabi ในสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรสต์(UAE)โดยมีอันดับความน่าเชื่อถือจากฟิทช์เรทติ้งส์ อยู่ที่ F1+ มีสัดส่วนการลงทุน 20%
เงินฝากธนาคาร Union National Bank ในสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรสต์ อันดับความน่าเชื่อถืออยู่ ที่ F1 สัดส่วน 25% หุ้นกู้ระยะสั้นธนาคารทหารไทย และธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) อันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ F1/ F1+ สัดส่วน 50% ที่เหลือเป็นพันธบัตรรัฐบาลไทย 5% พร้อมปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) เรียบร้อยแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับกองทุนตราสารหนี้ประเภทเดียวกันที่อยู่ในตลาดขณะนี้ ถือได้ว่ากองทุนดังกล่าวให้ผลตอบแทนที่ดีมาก
ส่วน กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ 3M5 (SCBFI3M5) อายุ 3 เดือน คาดผลตอบแทนประมาณ 2.50% ต่อปี โดยลงทุนในเงินฝากธนาคารออมสิน 20% หุ้นกู้ระยะสั้นและเงินฝากธนาคารต่างประเทศ ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตจากฟิทช์ เรทติ้งส์ อยู่ที่ F1/F1+ ในสัดส่วน 25% เท่ากัน คือ หุ้นกู้ระยะสั้นของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์(ไทย)และธนาคารทหารไทย และเงินฝากธนาคาร Union National Bank ในสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ส่วนที่เหลือลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย 5%
นางโชติกา กล่าวอีกว่า ส่วนอีก 1 กองทุนที่เหลือจะเน้นลงทุนตราสารหนี้ภายในประเทศเพียงอย่างเดียว ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์พันธบัตรรัฐบาล 6M93 (SCBGB6M93)อายุ 6 เดือน ลงทุนตั๋วเงินคลังและเงินฝากประจำธนาคารไทยพาณิชย์ คาดผลตอบแทนประมาณ 2.00% ต่อปี