นายองอาจ ดำรงสกุลวงษ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ. อินเตอร์ไฮด์ (IHL) คาดว่า รายได้ของบริษัทในปี 54 จะเติบโต 10-15% จากปีก่อน โดยเป็นไปตามทิศทางอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เติบโต ที่คาดว่าปีนี้อุตสาหกรรมรถยนต์จะมีการผลิตรถยนต์เพิ่มเป็น 1.85 ล้านคัน เติบโตจากปีก่อน 13%
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสที่ 1/2554 มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 4/2553 โดยมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องทั้งจากรุ่นรถยนต์เดิมที่ผลิตเพิ่มขึ้น และรถยนต์รุ่นใหม่ที่ผู้ประกอบการค่ายรถยนต์เพิ่งจะส่งลงตลาด ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ ได้ใช้กำลังการผลิตเต็มเกือบ 100% ทุกวัน และได้ทยอยส่งมอบสินค้าให้กับค่ายรถยนต์ตามคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังได้ขยายกำลังการผลิต เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นด้วย
“ในไตรมาสที่ 1/2554 ยังมีออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้เรามีออเดอร์ที่รอส่งมอบยาวไปจนถึงไตรมาส 2 และหลังจากนี้เชื่อว่าจะยังมีออเดอร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ จึงทำให้มั่นใจว่าในปี 2554 บริษัทฯ จะสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2553 ได้ ซึ่งในเบื้องต้นได้กำหนดอัตราการเติบโตของรายได้ไว้เท่ากับอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ประมาณ 10-15% จากปีก่อน ในขณะเดียวกันได้ตั้งเป้าหมายในการรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้น (Margin) ให้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา"
ลูกค้าหลักของบริษัทฯ ประกอบด้วย โตโยต้า ฮอนด้า นิสสัน มิตซูบิชิ ฟอร์ด และ มาสด้า ซึ่งล้วนแต่เป็นค่ายรถยนต์ชั้นนำของโลก ที่มีโอกาสการเติบโตสูง ดังนั้นเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว
ขณะนี้บริษัทฯ กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่เพื่อขยายกำลังการผลิตให้เพิ่มขึ้นอีก 100% และหากแผนการขยายกำลังการผลิตแล้วเสร็จเชื่อว่าจะทำให้การรับคำสั่งซื้อของลูกค้าเป็นไปอย่างคล่องตัวมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันรับคำสั่งซื้อได้ตามกำลังการผลิตที่มีอยู่เท่านั้น ทำให้หลายครั้งต้องเสียโอกาสทางธุรกิจไปดังนั้นหากโรงงานการผลิตแห่งใหม่พร้อมเดินเครื่องในเชิงพาณิชย์ได้เชื่อว่าจะสนับสนุนรายได้ให้ของบริษัทฯ เติบโตได้อย่างโดดเด่นอีกครั้ง
"ปี 2554 จะสามารถขยายกำลังการผลิตได้เพิ่มขึ้น 50% และคาดว่าจะผลิตในเชิงพาณิชย์ได้เต็มกำลังในต้นปี 2555 และการขยายกำลังการผลิตครั้งนี้ นอกจากจะเพื่อรองรับออเดอร์ใหม่ที่มีสัญญาณที่ดีขึ้น ยังถือเป็นการเพิ่มความคล่องตัวในการรับงานที่มีขนาดใหญ่จากต่างประเทศด้วย ซึ่งถือเป็นการตอบสนองต่อนโยบายของบริษัทฯ ที่จะหันมารุกงานต่างประเทศมากขึ้น"
ปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ระดับ 35% ซึ่งคาดว่าในปีนี้เมื่อโรงงานใหม่เริ่มผลิตได้สัดส่วนการส่งออกน่าจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 35-40% เนื่องจากบริษัทฯ เตรียมขยายฐานการส่งออกไปยังตลาดทั้งแถบยุโรป และเอเชีย หลังจากประเมินว่ายังเป็นตลาดที่มีศักยภาพและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นองค์กรที่แข็งแกร่ง
นายองอาจ กล่าวว่า ในปี 2554 ได้ตั้งงบลงทุนจำนวน 200 ล้านบาท เป็นการลงทุนต่อเนื่องจากปีก่อน เพื่อใช้ในการซื้อเครื่องจักรและก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 7 และยังมีแผนที่จะเจาะตลาดส่งออกในประเทศแถบยุโรปมากขึ้น โดยเริ่มที่เยอรมัน และบอสเนีย โดยสินค้าของบริษัทได้ผ่านการทดสอบมาตรฐานจากยุโรปแล้ว คาดว่าจะมีคำสั่งซื้อในปี 2555 โดยปัจจุบันบริษัทมีการส่งออกไป สหรัฐ ปากีสถาน อินเดีย มาเลเซีย อินโดนเซีย ออสเตรเลีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ จีน และญี่ปุ่น
ความคดีฟ้องร้องจาก บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) เกี่ยวกับสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาจากศาลฎีกา ส่วนกรณีการขายหุ้นของครอบครัว โดยไม่ได้แจ้งข้อมูลต่อ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ขณะนี้เรื่องยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ก.ล.ต. ซึ่งบริษัทได้มีการชี้แจงข้อมูลหมดแล้ว
"เราได้เข้าไปคุยกับ ก.ล.ต.แล้ว ซึ่งยอมรับว่าเราผิดจริง ตอนนี้รอ ก.ล.ต.เป็นผู้พิจารณา แต่ยืนยันว่าเราจะไม่ขายหุ้นอีก ซึ่งปัจจุบัน ในครอบครัวถือหุ้นกว่า 200 ล้านหุ้น คิดเป็น 69% ส่วนที่เหลือ 31% เป็นนักลงทุนรายย่อย"นายองอาจ กล่าว