นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซียพลัส(ASP)คาดว่ารายได้ในปี 54 จะเติบโตประมาณ 10-15% จากปี 53 ที่มีรายได้ 2.3 พันล้านบาท ซึ่งในปีนี้จะมีการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะงานด้านวาณิชธนกิจ(IB)เป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูงสุด รองลงมาเป็น ธุรกิจ Asset Management, การออก DW ที่เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ และการลงทุนในต่างประเทศ
ขณะที่ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และธุรกิจการลงทุน คาดว่าจะทรงตัวจากปีก่อน โดยในปีนี้จะรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ที่ 5.26% หรือเป็นอันดับ 3
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่างานวาณิชธนกิจจะเติบโตจากปีก่อนที่มีรายได้ 63 ล้านบาท โดยขณะนี้ได้รับงานที่ปรึกษาในมือแล้ว 23 ดีล แบ่งเป็นงานที่ปรึกษาเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO)จำนวน 8 ดีล,งานที่ปรึกษาการควบรวมกิจการ(M&A) จำนวน 6 ดีล และงานที่ปรึกษาเสนอขายหุ้นให้ผู้ถือหุ้นเดิม(PO)จำนวน 2 ดีล รวมทั้งานที่ปรึกษาทางการเงิน(FA) 7 ดีล
นอกจากนั้น ในปีนี้บริษัทยังมีแผนจะเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์(DW)อีก 12 ตัว ขณะที่ รายได้การบริหารกองทุนจะมีมากขึ้น หลังจากได้ใบอนุญาตบริหารกองทุนส่วนบุคคล
"ปีนี้ถ้าเติบโต 10-15% เราก็ happy แล้ว เป็นการเติบโตกระจายทุกหน่วยธุรกิจ ส่วนกลยุทธ์การทำงานปีนี้เราจะเน้นเพิ่มคุณภาพบุคคลากร มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า เน้นการขายข้ามพรมแดนมากขึ้น" นายก้องเกียรติกล่าว
นายก้องเกียรติ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะเน้นขยายการลงทุนไปในต่างประเทศ เพราะเห็นตลาดหุ้นหลายประเทศมีราคาถูกกว่าหุ้นไทย จึงเป็นโอกาสเข้าลงทุนในหุ้นต่างประเทศ รวมทั้งในตราสารหนี้และกองทุนต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาลูกค้าของบริษัทที่นิยมเข้าไปลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา, ฮ่องกง , จีน, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์ และ เกาหลีใต้
ส่วนการลงทุนในประเทศในปีนี้จะเปลี่ยนกลยุทธ์ โดยจะเป็นการลงทุนที่ปรับตัวไปตามภาวะเงินเฟ้อ ขณะที่จะลดการลงทุนในตราสารหนี้ลง รวมทั้งลดการลงทุนในตลาดหุ้นไทย จากปีก่อนอยู่ที่ระดับ 20-30% ของพอร์ตการลงทุน และหันไปลงทุนตลาดหุ้นต่างประเทศมากขึ้น
"ปีนี้ธุรกิจหลักทรัพย์บ้านเราคงไปได้เรื่อยๆ ในส่วนของเราจะสร้างความสมดุลให้กับรายได้ โดยมีการปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับสถานการณ์ เพื่อให้ลูกค้าเกิดประโยชน์ โดยการลงทุนของบริษัทต้องระมัดระวังไม่ให้รับผลกระทบจากเรื่องเงินเฟ้อ"นายก้องเกียรติ กล่าว
ประธานกรรมการบริหาร ASP มองว่า ตลาดหุ้นไทยยังมี upside อีกประมาณ 10-15% จากฐานดัชนีที่ 1,000 จุด แต่ขณะเดียวกันก็มี downside แต่ยังมองยังน้อยอยู่ โดยขึ้นกับราคาน้ำมันตลาดโลก