ขณะเดียวกัน ยืนยันว่าในปีนี้บริษัทจะสามารถจ่ายปันผลได้ในอัตราเท่ากับปีที่แล้วที่จ่าย 5.25 บาท/หุ้น
นายวินิจ กล่าวว่า บริษัทจะมีรายได้จากโรงไฟฟ้าเควซอนที่ฟิลิปปินส์ในปีนี้เข้ามาเพิ่มขึ้นเป็น 1 พันล้านบาท จากปีก่อนมีรายได้ 500 ล้านบาท หลังจากที่บริษัทได้เข้าถือหุ้นเพิ่มเป็น 52% จากเดิม 26% ซึ่งจะช่วยชดเชยรายได้จากโรงไฟฟ้าระยองและโรงไฟฟ้าขนอมที่รายได้ในปีนี้จะปรับลดลงตามสัญญา ก่อนที่โรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่งจะหมดสัญญาในปี 58 และปี 59 ตามลำดับ รวมทั้งส่วนแบ่งรายได้จากโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีลดลง
สำหรับงบลงทุนปี 54 บริษัทตั้งไว้ประมาณ 6-7พันล้านบาท โดยเงินส่วนใหญ่ใช้ลงทุนหุ้นในโรงไฟฟ้าเควซอน และอาจมีการลงทุนเพิ่มหากบริษัทมีโอกาสลงทุนในโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ต่างประเทศ โดยคาดว่าในปีนี้จะเห็นความชัดเจนในการลงทุนที่ประเทศอินโดนีเซีย
และในระยะยาวหรือถึงปี 62 บริษัทจะใช้เงินลงทุนถึง 3 หมื่นล้านบาทตามแผนงาน ได้แก่ การลงทุนโครงการไซยะบุรีในลาว สัดส่วนถือหุ้น 12.5% คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 1.2-1.3 หมื่ล้านบาท, โรงไฟฟ้า SPP จำนวน 3 แห่ง รวมประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท และการขยายกำลังการผลิตของโรงไฟ้ของบริษัท ลพบุรีโซลาร์ 11 เมกะวัตต์ จากเดิมที่มีอยู่ 73 เมกกะวัตต์
"อินโดนีเซียขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปแต่คาดว่าจะเห็นภาพชัดเจน เราไม่ทำเหมืองถ่านหินเราจะมุ่งในโรงไฟฟ้าแต่อาจเป็นไปได้ถ้าได้ราคาดี แต่เราจะเป็น Investor"นายวินิจ กล่าว
ส่วนโรงไฟฟ้าระยอง นายวินิจ กล่าวว่า ในปีนี้จะเจรจาต่ออายุสัญญาไปอย่างน้อย 5 ปี โดยขณะนี้ยังไม่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่ม แต่ก็มีโอกาสลงทุนเพิ่มเติมในส่วนของเครื่องจักรหากนโยบายภาครัฐต้องการไฟฟ้าเพิ่มตามความต้องการที่ปรับตัวสูงขึ้น
ด้านนายปิยะ เจตะสานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการเงินและบริการองค์กร EGCO กล่าวว่า แหล่งเงินลงทุนจะมาจากกระแสเงินสดที่บริษัทมีอยู่เพียงพอ โดยสิ้นปี 53 อยู่ที่ 7.7 พันล้านบาท และบริษัทยังมีความสามารถกู้เงินได้อีกมาก โดยอัตราหนี้สินต่อทุน 0.2 เท่า ณ สิ้นปี 53 อย่างไรก็ดี บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการออกและเสนอขายหุ้นกู้ ซึ่งบริษัทมีวงเงินที่ได้รับอนุมัติไว้ 3 หมื่นล้านบาทจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อปีก่อน แต่ยังได้ออกขาย