นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)กล่าวปาฐกถาในงานสัมมนานานาชาติของกลุ่มประเทศความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย-แปซิฟิก(Asia-Pacific Economic Cooperation: APEC)ว่า ตลาดเกิดใหม่ควรคำนึงถึง 3 ปัญหาหลัก คือ 1.ปัญหา shadow banking หรือความเสี่ยงนอกงบดุลในวิกฤตครั้งนี้ทางการในประเทศพัฒนาแล้วได้ละเลยปล่อยให้ธนาคารต่างๆ มีเงินทุนไม่เพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงจากธุรกิจ shadow banking โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนิติบุคคลเฉพาะกิจ (Special Purpose Vehicles: SPV)
สำหรับตลาดเกิดใหม่มีปัญหาที่คล้ายคลึงกัน เนื่องจากธนาคารมีการนำเอาตราสารและผลิตภัณฑ์การเงินต่างๆ ของบริษัทในเครือมาขายให้แก่ลูกค้าของธนาคารเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีความเสี่ยงที่ลูกค้าของธนาคารจะเข้าใจผิดว่าท้ายที่สุดธนาคารจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อตราสารเหล่านี้ ดังเห็นได้จากตัวอย่างในประเทศพัฒนาแล้วว่า เมื่อเกิดวิกฤตขึ้นธนาคารส่วนใหญ่จะถูกสถานการณ์บีบบังคับให้เข้าไปดูแลลูกค้ามิให้ขาดทุน ดังนั้น ตลาดเกิดใหม่จึงควรพิจารณากำหนดให้ธนาคารต้องมีทุนอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อรองรับตราสารของบริษัทในเครือที่ขายผ่านธนาคาร
2. ปัญหาความเสี่ยงจากยอดหนี้ระหว่างธนาคารด้วยกัน ซึ่งตลาดที่พัฒนาแล้วพบว่า ธนาคารมีความเสี่ยงจากยอดหนี้ที่พัวพันกันซับซ้อนไปมาเป็นจำนวนที่สูงมาก หนี้ดังกล่าวเกิดจากการซื้อขายอนุพันธ์กันนอกตลาดหลักทรัพย์ และเมื่อธนาคารหนึ่งล้มก็จะทำให้การเคลียร์หนี้ทั้งระบบสะดุด ในอนาคตทุกประเทศจึงควรผลักดันให้ธนาคารเปลี่ยนไปซื้อขายอนุพันธ์กันในตลาดหลักทรัพย์แทน เพราะการรวมศูนย์หักบัญชีจะทำให้ระบบมีความมั่นคง
ส่วนตลาดเกิดใหม่นั้น ธุรกรรมที่สมควรผลักดันให้เข้าไปในตลาดหลักทรัพย์มากที่สุด ก็คืออัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า และควรปรับปรุงสูตรการคำนวณอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง โดยกำหนดน้ำหนักความเสี่ยงสำหรับการซื้อขายอนุพันธ์ที่ยังทำกันนอกตลาดหลักทรัพย์ ให้สูงขึ้นพอเพียงที่จะผลักให้ธุรกรรมดังกล่าวเข้าไปในตลาดหลักทรัพย์ด้วย
3. ผู้รับภาระกรณีธนาคารล้ม ในประเทศพัฒนาแล้วได้มีการกำหนดมาตรการใหม่ๆ ที่จะไม่ต้องนำเงินภาษีของประชาชนไปใช้เพื่อการนี้ เช่น ธนาคารชาติสวิสกำหนดให้ธนาคารต้องออกพันธบัตรพิเศษ (CoCo bond) ซึ่งในยามปกติก็จะจ่ายดอกเบี้ยแบบหุ้นกู้ แต่เมื่อใดธนาคารประสบปัญหา ทางการสามารถบังคับให้เปลี่ยนพันธบัตรนี้ไปเป็นทุน เพื่อรองรับขาดทุนของธนาคารได้ทันที ส่วนในสหรัฐฯ Dodd-Frank Bill ก็ให้อำนาจรัฐบาลเรียกเงินอุดหนุนพิเศษจากธนาคารที่ไม่ล้ม เพื่อชดเชยภาระที่เกิดขึ้นแก่ทางการจากธนาคารที่ล้ม โดยประชาชนจะไม่ต้องเข้ามารับภาระ
ขณะที่ ตลาดพัฒนาใหม่ควรกำหนดแต่เนิ่นๆ ว่าผู้ใดจะต้องรับภาระจากธนาคารล้ม โดยเฉพาะกรณีบางประเทศที่อาจจะมีความเสี่ยงลักษณะพิเศษ ยกตัวอย่างเช่นประเทศไทยที่ยินยอมให้ธนาคารสามารถออกและเสนอขายตั๋วแลกเงินให้แก่ลูกค้า ตั๋วแลกเงินเหล่านี้เป็นเงินฝาก แต่ธนาคารไม่ต้องจ่ายเบี้ยประกันเงินฝาก ธนาคารจึงมีแนวโน้มที่จะออกตั๋วแลกเงินเพิ่มขึ้น แต่จากประสบการณ์ในอดีตนั้น เมื่อใดที่เกิดวิกฤตจะมีแรงกดดันทางการเมืองหรือทางสังคมให้ทางการต้องเข้าไปช่วยธนาคารต่างๆ แทบทุกธนาคาร ดังนั้น ตั๋วแลกเงินเหล่านี้จะกลับเข้ามาเป็นภาระแก่ทางการในที่สุด ทั้งที่ทางการไม่เคยได้รับเบี้ยประกัน
"เรื่องธนาคารล้มนั้น ผมเรียกร้องให้ทางการประเทศพัฒนาใหม่ต้องวางแผนรับมือตั้งแต่บัดนี้ เพราะหากรอให้เกิดปัญหาก่อน ก็เท่ากับตั้งใจจะให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นผู้แบกรับภาระอีกเช่นเคย" นายธีระชัย กล่าว