ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดร่วง 137.74 จุด หวั่นวิกฤตนิวเคลียร์ญี่ปุ่นกระทบศก.

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 16, 2011 06:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (15 มี.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลที่ว่า วิกฤตการณ์นิวเคลียร์ในญี่ปุ่นจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก โดยมีรายงานว่าเกิดระเบิดขึ้นที่เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 2 ที่จังหวัดฟูกุชิม่าเมื่อวานนี้ ซึ่งส่งผลให้ระดับการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีเพิ่มขึ้น

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 137.74 จุด หรือ 1.15% ปิดที่ 11,855.42 จุด ดัชนี S&P 500 ดิ่งลง 14.52 จุด หรือ 1.12% ปิดที่ 1,281.87 จุด และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 33.64 จุด หรือ 1.25% ปิดที่ 2,667.33 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.3 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วนเกือบ 4 ต่อ 1

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก หลังจากมีรายงานการเกิดระเบิดและเพลิงไหม้ที่เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในญี่ปุ่น ซึ่งทำให้ระดับของสารกัมมันตรังสีสูงขึ้นด้วย โดยนักลงทุนกังวลว่า วิกฤตการณ์นิวเคลียร์ของญี่ปุ่นอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 3 ของโลก และอาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกด้วย

ความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของเศรษฐกิจญี่ปุ่นทวีความรุนแรงขึ้น แม้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ได้อัดฉีดเงินเข้าสู่ตลาดการเงินของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอีก 8 ล้านล้านเยนเมื่อวานนี้ นอกจากนี้ วิกฤตการณ์นิวเคลียร์ยังฉุดดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดตลาดร่วงลงกว่า 10% เมื่อวานนี้ ขณะที่มีรายงานว่ารัฐบาลญี่ปุ่นอาจจะเข้าแทรกแซงตลาดหุ้นโตเกียวด้วยการเข้ามาช้อนซื้อหุ้นในตลาด

สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) เตือนว่า มีความเป็นไปได้ที่ S&P จะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือบริษัทโตเกียว อิเล็คทริค เพาเวอร์ (TEPCO) ซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานนิวเคลียร์จังหวัดฟุกุชิม่า อาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของ TEPCO หลังจากเกิดเหตุความเสียหายร้ายแรงที่เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของในโรงงานของบริษัท จนสร้างความตื่นตระหนกไปทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์สามารถไต่ขึ้นจากระดับต่ำสุดของวันได้ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ย0-0.25 % และยืนยันว่าจะเดินหน้าโครงการ QE2 ในการประชุมเมื่อวานนี้ พร้อมกับแสดงความคิดเห็นที่เป็นบวกต่อเศรษฐกิจว่า ตลาดแรงงานของสหรัฐเริ่มฟื้นตัวขึ้น ขณะที่ตัวเลขการใช้จ่ายภาคครัวเรือน และการลงทุนทางธุรกิจในด้านอุปกรณ์และซอฟท์แวร์ยังคงมีการขยายตัว นอกจากนี้ เฟดไม่ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อหลังจากที่ได้อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรวงเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์

หุ้นที่เกี่ยวข้องกับพลังงานนิวเคลียร์ได้รับแรงกดดันอย่างหนักจากเหตุระเบิดของโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ในญี่ปุ่น โดยหุ้นเอนเนอร์จี คอร์ป ร่วงลง 2.28% ในระหว่างวัน ก่อนที่จะดีดตัวขึ้นมาปิดบวก 0.14% หุ้นเจนเนอรัล อิเล็กทริก ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนด้านพลังงานนิวเคลียร์กับฮิตาชิ ปิดร่วงลง 1.56%

หุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิพและเซมิคอนดัคเตอร์ร่วงลงอย่างหนัก เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ต้องพึ่งพาโรงงานผลิตอุปกรณ์ดังกล่าวในประเทศญี่ปุ่น โดยหุ้นอินเทล คอร์ป ร่วงลง 3.2% และหุ้นเนชันแนล เซมิคอนดัคเตอร์ คอร์ป ร่วงลง 3%

ขณะที่หุ้นบริษัทประกันที่เข้าไปดำเนินธุรกิจในญี่ปุ่นร่วงลงเช่นกัน รวมถึงหุ้น Aflac Inc ที่ปิดร่วงลง 5.6% ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมัน NYMEX ปรับตัวลงต่ำกว่าระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยหุ้นเอ็กซอนโมบิลปิดร่วง 1.2%

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพุธ กระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยข้อมูลดุลบัญชีเดินสะพัดไตรมาส 4/2553 รวมทั้งข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนก.พ. และกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.พ.

วันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.พ. และเฟดจะเปิดเผยข้อมูลการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนก.พ. ส่วนวันศุกร์ไม่มีการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ