นางสาวจุฑามาส อิงโพธิ์ชัย ผู้จัดการนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.จีเอฟพีที(GFPT)ผู้ผลิตเนื้อไก่รายใหญ่ เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า หลังจากเหตุภัยพิบัติในญี่ปุ่น บริษัทยังไม่ได้รับแจ้งการยกเลิกออเดอร์จากลูกค้าญี่ปุ่น ขณะที่บริษัทคาดว่าจะมีแนวโน้มสั่งเพิ่มมากขึ้น แต่ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลชัดเจน คงต้องรอประมาณ 2 สัปดาห์
ขณะที่สำนักงานใหญ่ของพันธมิตรสำคัญคือ บริษัท นิชิเร ในโตเกียว ยังไม่ได้รับรายงานความเสียหาย และ บริษัทไม่ได้รับผลกระทบด้านส่งสินค้า เพราะใช้ท่าเรือโตเกียวกับโอซาก้า ซึ่งไม่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ GFPT ส่งออกโดยตรงไปญี่ปุ่น 10% ของรายได้รวม และส่งออกโดยอ้อมผ่านบริษัทอื่นที่ทำ OEM ให้กับญี่ปุ่น คิดเป็น 8% ของรายได้ ขณะที่ GFPT มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออก 60% ของรายได้รวม โดยส่งไปยังตลาดยุโรปและญี่ปุ่น สัดส่วน 50:50 และขายในประเทศ 40%
นาวสาวจุฑามาส กล่าวว่า บริษัทคาดว่ารายได้รวมในปี 54 จะเติบโต 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1.2 หมื่นล้านบาท จากที่ยอดขายอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น และมียอดขายไก่เป็นมากขึ้นที่ส่งให้กับบริษัท จีเอฟพีที นิชิเร(GFN) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุน(GFPT ถือ 49%)
ขณะที่บริษัทพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)ให้ได้ระดับใกล้เคียงปีก่อนที่ 15% แม้ว่าราคาต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น โดยได้มีการปรับราคาขายในประเทศและราคาส่งออกไปแล้วประมาณ 10% โดยราคาไก่เป็นปรับขึ้นมาในไตรมาส 1/54 เป็น 45 บาท/ก.ก.จากไตรมาส 4/53 ที่ระดับ 36 บาท/ก.ก. นอกจากนี้ ยังมีการเก็บสต็อกล่วงหน้าไว้ประมาณ 3 เดือน
"เป้าหมายรายได้ของเราตั้งไว้โต 10% เหมือนปีที่แล้วที่โต 10%ได้ตามเป้า แม้ว่าราคาวัตถุดิบสูงขึ้น แต่เราก็จะรักษามาร์จิ้นให้ได้ที่ 15%"นางสาวจุฑามาส กล่าว
นอกจากนี้ ในปีนี้บริษัทมีกำลังการผลิตมากขึ้นทำให้เกิดการประหยัดต้นทุน (Economy of scale) โดย บริษัท กรุงไทยอาหารสัตว์ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ผลิตอาหารสัตว์ มีการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นถึง 80% ในปีนี้ จากปีก่อนใช้กำลังการผลิต 60%
ส่วนฟาร์มเลี้ยงไก่ ในปีนี้บริษัทได้ลงทุนเพิ่มอีก 800-1,000 ล้านบาท ในการเพิ่มปริมาณการเลี้ยงขึ้นมาอีกเท่าตัว จาก 5 หมื่นตัว/วัน เป็น 1 แสนตัว/วัน คาดว่าจะดำเนินการได้ในไตรมาส 2/54 เพื่อส่งไก่เป็นให้กับโรงงานของ GFN ต่อไป ทั้งนี้ เป็นการลงทุนต่อเนื่องจากปีที่แล้ว