(เพิ่มเติม) BJC เป้าปี 54 รายได้-กำไรโต 15%,คาดซื้อธุรกิจค้าปลีก-เทรดดิ้งสรุปปีนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 16, 2011 16:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) เปิดเผยว่า ในปี 54 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 15% จากปีก่อน และจะพยายามทำให้อัตราการเติบโตของกำไรใกล้เคียงกับรายได้ แม้ว่าจะลดลงจากปีก่อนที่กำไรเติบโตก้าวกระโดด แต่เป็นเพราะในปี 52 มีฐานค่อนข้างต่ำ ซึ่งการเติบโตของรายได้ส่วนหนึ่งจะมาจากแผนการขอปรับขึ้นราคาสินค้าเกือบทุกรายการ 4-5% ในช่วงเดือน เม.ย.นี้ตามต้นทุนที่สูงขึ้น

ขณะนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อกิจการเพิ่มเติม ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีกในอินโดจีน รวมถึงธุรกิจเทรดดิ้งในพม่าและกัมพูชา คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้

อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งงบลงทุนปกติในปีนี้ไว้ที่ 2.4 พันล้านบาท ซึ่งไม่รวมกับแผนการซื้อกิจการ โดยหากการเจรจาประสบความสำเร็จ บริษัทก็ยังมีกระแสเงินสดเพียงพอที่จะนำมาใช้ ขณะที่บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้ราว 2-3 พันล้านบาทในช่วงเดือน พ.ค.นี้ เพื่อนำมาใช้รีไฟแนนซ์หุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอน

นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล กรรมการผู้จัดใหญ่ BJC กล่าวว่า ในปี 54 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 15% จากปีก่อนที่มีรายได้ 26,000 ล้านบาท เป็นการเติบโตในทุกอุตสาหกรรม หลังจากการปรับขึ้นราคาสินค้าและเพิ่มปริมาณการขาย นอกจากนี้ บริษัทจะพยายามหาสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีมาร์จิ้นสูงมาตจำหน่ายเพิ่มขึ้น ขณะที่คาดว่ากำไรสุทธิปี 54 จะเติบโตใกล้เคียงรายได้

ทั้งนี้ ช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ ยอดขายเป็นไปตามเป้าหมาย โดยเติบโต 15% จากการจำหน่ายสินค้าใหม่และปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ในเดือน เม.ย.นี้ บริษัทจะทำหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์ขอปรับขึ้นราคาสินค้าทุกรายการ เฉลี่ย 4-5% เนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้น แม้จะเป็นอัตราที่ยังไม่สามารถชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นได้ทั้งหมด เช่น ราคาน้ำมันปาล์มที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำขนมและสบู่ รวมถึงราคาน้ำตาลทราย ต่างก็ปรับขึ้นกันถ้วนหน้า

นายอัศวิน กล่าวว่า บริษัทยังสนใจเปิดห้างค้าปลีกเอง โดยอยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียด และเดินหน้าซื้อกิจการค้าปลีกในประเทศกลุ่มอินโดจีน เนื่องจากวางเป้าหมายขยายตลาดให้ครอบคลุมภูมิภาคอินโดจีนภายใน 3-5 ปีข้างหน้า และภายใน 10 ปี วางเป้าขยายตลาดให้ครอบคลุมกลุ่มอาเซียน

นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อธุรกิจเทรดดิ้งในกัมพูชาและพม่า คาดว่ามีข้อสรุปภายในปีนี้ ส่วนการร่วมลงทุนในเวียดนาม เพื่อสร้างโรงงานผลิตกระป๋องบรรจุภัณฑ์ คาดว่าเริ่มการผลิตได้ในไตรมาส 3/55

สำหรับการลงทุนในประเทศ บริษัทมีแผนซื้อกิจการที่มีแบรนด์อยู่แล้วเพื่อต่อยอดธุรกิจ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และมาร์จิ้น ส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทสกินแคร์ และแฮร์แคร์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา และยังสนใจซื้อกิจการบรรจภัณฑ์เพิ่มเติมด้วย

ทั้งนี้ ปี 54 บริษัทได้ตั้งงบลงทุนจำนวน 2,400 ล้านบาท เป็นการลงทุนปกติ ยังไม่รวมงบการซื้อกิจการ ปัจจุบันบริษัทมี EBITDA 4,500 ล้านบาท/ปี และมี D/E 0.65 เท่า ขณะที่มีความสามารถในการกู้เงินได้จนถึง D/E ที่ 1.75 เท่า หากการซื้อกิจการต้องใช้เงินลงทุนในช่วง 7,000-8,000 ล้านบาท ก็จะสามารถใช้กระแสเงินสดและกู้เงินได้โดยไม่ต้องเพิ่มทุน ซึ่งการเพิ่มทุนจะเป็นทางเลือกสุดท้าย

นายอัศวิน กล่าวอีกว่า บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้ อายุ 5 ปี วงเงิน 2,000-3,000 ล้านบาทในเดือน พ.ค. เพื่อรีไฟแนนซ์หุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดไถ่ถอนในปลายเดือน มี.ค.54 วงเงิน 3,000 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้าที่จะออกหุ้นกู้อาจจะกู้เงินระยะสั้นมาใช้ก่อน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ