นางสาวประภา ปูรณโชติ กรรมการผุ้จัดการคนใหม่ บลจ.เอ็มเอฟซี(MFC) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ามูลค่าสินทรัพย์สุทธิ(NAV)ของกองทุนรวมภายใต้การบริหารของบริษัทในปี 54 จะเติบโตราว 30% มาที่ 3.3 แสนล้านบาท จากสิ้นปี 53 ที่มี NAV อยู่ที่ 2.6 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มว่าจะมีการปรับเป้าหมายขึ้นในกลางปีนี้ด้วย
ในปีนี้บริษัทมีกลยุทธในการเพิ่มช่องทางการขายหน่วยลงทุนผ่าน Selling Agent มากขึ้น จากปัจจุบัน 10% จะเพิ่มเป็น 20% ซึ่งจะเพิ่มการขายผ่านธนาคารของรัฐ อาทิ ธนาคารออมสิน ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ MFC และธนาคารัฐแห่งอื่นที่ไม่เคยขายกองทุนรวมมาก่อน โดยจะเน้นเสนอขายกองทุนหุ้นเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF) และกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ซึ่งสามารถหักลดหย่อนภาษีได้
"คิดว่า 1-2 เดือนจะได้ความชัดเจน รอให้เซ็นเอ็มโอยู เป็น Selling Agent ก่อน ซึ่งถ้าขยายช่องทางได้มากขั้นจะช่วยกระจายการขายหน่วยลงทุนได้มากขั้น และสามารถเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับบริษัท เพราะคู่แข่งอื่นขายผ่านธนาคารที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นหลัก " นางสาวประภา กล่าว
นอกจากนี้ บล.คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นก็จะเข้ามาช่วยขายกองทุนรวมผ่านสำนักงานของ CGS ซึ่งขณะนี้กำลังต่อระบบระหว่างกันและคาดว่าในไตรมาส 3 นี้จะเริ่มขายได้
ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนจะขยายฐานลูกค้า เพิ่มขึ้นอีก 15% จากสิ้นปีก่อนที่มีลูกค้าจำนวน 6 หมื่นราย โดยจะขยายฐานลูกค้าเข้ามาในกองทุนส่วนบุคคลมากขึ้น โดยเจาะไปยังกลุ่มนิติบุคคล เช่น สหกรณ์ มูลนิธิต่างๆ สถาบันการศึกษา หรือกลุ่มคนที่มีเงินฝากสูง เนื่องจากกลุ่มเหล่านี้จะได้รับผลตอบแทนจากเงินฝากน้อยลง และการคุ้มครองเงินฝากจำกัด
นางสาวประภา กล่าวว่า บริษัทคาดว่าจะมีการเปิดขายกองทุน Infrastructure Fund ในช่วงปลายปีนี้ มูลค่าประมาณ 3 พันล้านบาท เบื้องต้นจะเข้าลงทุนในธุรกิจพลังงาน ได้แก่ โรงไฟฟ้าของเอกชน ส่วนการลงทุนในรัฐวิสาหกิจคงต้องรออีกสักระยะ เพราะได้รับการต่อต้านจากสหภาพพนักงานรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ทั้งนี้ คาดว่าในไตรมาส 3/54 จะได้ข้อยุติเกี่ยวกับเรื่องอัตราภาษีที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในกองทุนดังกล่าว
ขณะที่กองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นทั้ง 9 กองทุนยังไม่ได้รับผลกระทบต่อ NAV เนื่องจากกองทุนดังกล่าวลงทุนต่ำกว่าดัชนีอ้างอิง โดยให้น้ำหนักลงทุน 4.6-25% จากดัชนีอ้างอิง 9-50% เพราะก่อนหน้านี้มองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้ผลตอบแทนที่ไม่ดีนัก อย่างไรก็ตาม หากเห็นว่าราคาน่าสนใจก็จะเข้าไปลงทุนเพิ่ม ส่วนตลาดตราสารหนี้ในญี่ปุ่นบริษัทยังไม่มีการลงทุน
กรรมการผู้จัดการ MFC มองว่า ในปีนี้การแข่งขันธุรกิจกองทุนรวมจะรุนแรงมากขึ้นกว่าปีก่อน แต่บริษัทจะออกกองทุนที่มีลักษณะโดดเด่นอย่างที่เคยทำมา ได้แก่ กองทุนทริกเกอร์ที่ลงทุนในตลาดหุ้นและให้ผลตอบแทนอย่างน้อย 10% ซึ่งมีแผนจะออกเดือนละ 1 กอง รวมถึงการแข่งขันลดค่าธรรมเนียม พร้อมตั้งเป้าหมายจะกลับมาอยู่ในอันดับ TOP3 จากปัจจุบันอยู่อันดับที่ 4