นายแคม ชิง แอมโบรส ชาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดีเอสจี อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) (DSGT) กล่าวว่า บริษัทจะพยายามรักษาอัตราของรายได้รวมในปี 54 ให้ไม่ต่ำกว่า 2 digit จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 4,367 ล้านบาท ซึ่งเติบโต 27% โดยปัจจัยสำคัญในการเติบโตมาจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่และการขยายจุดจำหน่ายสินค้า อีกทั้งบริษัทยังมีการเพิ่มนวัตกรรมในการผลิต
ตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปยังมีโอกาสเติบโต เนื่องจากมีเด็กเกิดใหม่เพิ่มขึ้น และปริมาณผู้สูงอายุที่ใช้ผ้าอ้อมผู้ใหญ่มีเพิ่มขึ้น อีกทั้งในปีนี้บริษัทมีแผนบุกตลาดอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น หลังจากเข้าไปถือหุ้นในบริษัทร่วมทุนเมื่อปีก่อน ซึ่งในปีนี้จะเข้าถือหุ้นครบ 100% ก็จะมีอำนาจในการบริหารงานเต็มที่
ทั้งนี้ ตลาดอินโดนีเซียใหญ่เป็น 7 เท่าของตลาดไทยและมาเลเซียรวมมกัน เนื่องจากประชากรในอินโดนีเซียมีเด็กเกิดใหม่ถึง 5 ล้านคน/ปี ขณะที่ไทยมีเด็กเกิดใหม่ 8 แสนคน/ปี มาเลเซีย 6 แสนคน/ปี ปัจจุบัน บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดในไทยและมาเลเซีย เป็นอันดับ 2 โดยมีมาร์เก็ตแชร์มากกว่า 20%
"ตลาดอินโดนีเซียมีศักยภาพในการเติบโตที่ดี บวกกับกลุ่มผู้ใช้ผ้าอ้อมยังต่ำ จึงมีโอกาสที่จะเข้าไปขายได้มากขึ้น"ประธานเจ้าหน้าที่บริการ DSGT กล่าว
สำหรับปัจจัยเสี่ยงปีนี้ ยังคงเป็นปัจจัยเดิมคือราคาน้ำมันและราคาวัตถุดิบ อุปสงค์และอุปทานของตลาด รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นปัจจัยเดิม บริษัทต้องเน้นการบริหารที่เหมาะสม โดยปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดความเสี่ยง
ส่วนขณะนี้จะสามารถปรับขึ้นราคาได้ตามต้นทุนที่สูงขึ้นหรือไม่นั้น ผู้บริหาร DSGT กล่าวว่า บริษัทก็ต้องการปรับราคา แต่ก็ต้องขึ้นกับปัจจัยอื่นด้วย รวมถึงสภาพการแข่งขันในตลาด และจะต้องเป็นราคาที่ผู้บริโภคซื้อได้ ซึ่งขณะนี้บริษัทได้สั่งซื้อวัตถุดิบล่วงหน้า 1-2 เดือน