นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี(CCP) เปิดเผยว่า บริษัทจะเข้าประมูลงานไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท และคาดว่าจะได้งานใหม่ประมาณ 30% ซึ่งเป็นงานก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐและเอกชน นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างเจรจาการรับงานขนาดใหญ่อีก 1 งาน จากปัจจุบันที่บริษัทมีงานในมือ(backlog) จำนวน 1.9 พันล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 18 เดือนข้างหน้า
ดังนั้น บริษัทจึงเชื่อว่าจากปัจจัยดังกล่าวจะทำให้รายได้ปีนี้เป็นไปตามตั้งเป้าที่ 2.5-2.6 พันล้านบาท หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 15-20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2,164 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้จะมาจาก CCP ราว 50-55% และมาจากบริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต 15% และ ที่เหลืออีก 35-40% มาจาก บริษัท ชลบุรีกันยง
และคาดว่าในปี 54 ผลประกอบการจะพลิกมีกำไร จากปีก่อนที่ขาดทุน 1.79 ล้านบาท เนื่องจากสัญญาณฟื้นตัวของธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น โดยในไตรมาส 1/54 คาดว่าจะมีรายได้และกำไรดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/53 ที่มีกำไรสุทธิ 13 ล้านบาท
ในส่วนการขาดทุนสะสมที่มีอยู่รวม 200-300 ล้านบาท จะมีการประเมินผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 และ ไตรมาส 2 ปีนี้ ก่อนจะกำหนดแฟนดำเนินการล้างขาดทุนสะสมว่าจะทำในครั้งเดียวได้หรือไม่ รวมถึงพิจารณาต้นทุนประกอบด้วย
"ตอนนี้เป็นช่วงทำเงิน จากที่เราลงทุนในช่วงที่ผ่านมา และอุตสาหกรรมก็เอื้อ ทั้งดีมานด์และซัพพลายมาพร้อมกัน เพราะฉะนั้นการที่จะล้างขาดทุนสะสมคงไม่ได้ยาก เพียงแต่ว่าเราต้องการที่จะดูผลประกอบการในไตรมาส 1-2 ซึ่งหากผ่านไปได้ ที่เหลือของปีนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเรา แต่ถ้าล้างขาดทุนสะสมได้การจ่ายเงินปันผลก็ต้องเห็นแน่นอน ซึ่งแตกต่างจากปี 51 ต้นทุนก็สูง ดีมานด์ก็ไม่มี" นายชาคริต กล่าว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าอัตรากำไรขั้นต้นในปี 54 จะสูงกว่าปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 11% เนื่องจากบริษัทได้ควบคุมต้นทุนได้ และยังสามารถปรับราคาขายตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยปลายเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการปรับขึ้นราคาไปแล้ว 15% และตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาได้มีการทยอยปรับราคาขายเกิน 5% แล้วได้แก่ ปูนซิเมนต์ เหล็ก
นายชาคริต กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมีโอกาสรับงานในต่างประเทศใหม่ๆมากขึ้น ปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนงานต่างประเทศ 5-10% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยที่ผ่านมาบริษัทได้มีการรับงานจากโครงการ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) ที่มัลดีฟ โดยได้รับยอดสั่งซื้อมูลค่า 160 ล้านบาท