ทริสมองตลาดที่อยู่อาศัยกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ยังเสี่ยงจากซัพพลายล้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 23, 2011 10:59 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคาดธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยยังเติบโตอย่างต่อเนื่องและตลาดคืนสู่ภาวะปกติ แต่เตือนว่าหากอุปทานใหม่ยังคงเพิ่มขึ้นในระดับสูงโดยตลอดก็อาจทำให้ตลาดเผชิญกับความเสี่ยงที่อุปทานล้นและราคาถดถอยในอนาคตได้

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สถาบันจัดอันดับเครดิตไทย กล่าวว่า ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปี 54 จะได้รับแรงสนับสนุนส่วนหนึ่งจากยอดขายของผู้ประกอบการที่รอการส่งมอบจำนวนมาก จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยเปิดใหม่และจำนวนหน่วยที่คาดว่าจะขายได้ในปี 54 น่าจะลดลงพอสมควรจากปี 53 เนื่องจากตลาดกลับคืนสู่ภาวะปกติและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านภาษีสิ้นสุดลง

ทั้งนี้ ที่อยู่อาศัยแนวราบจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตหลักทั้งด้านจำนวนหน่วยเปิดใหม่และยอดขาย ส่วนจำนวนหน่วยอาคารชุดเปิดใหม่ในปี 54 คาดว่าจะน้อยลงจากการที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีความระมัดระวังมากขึ้น การเติบโตของที่อยู่อาศัยแนวราบน่าจะช่วยเพิ่มสัดส่วนของความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และทำให้ตลาดเติบโตอย่างมีคุณภาพยิ่งขึ้น

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อเก็งกำไรคาดว่าจะลดลงในปี 54 หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยออกเกณฑ์ควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value -- LTV) ในช่วงปลายปี 53 อัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะทำให้ความน่าสนใจของอัตราผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าและการเก็งกำไรลดลง โดยต้นทุนทางการเงินที่ปรับเพิ่มขึ้นบนพื้นฐานของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งไม่น่าจะส่งผลกระทบในทางลบต่อความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย

อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งยังเตือนว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2554 จะยังคงเผชิญกับความเสี่ยงด้านอุปทานล้นตลาดต่อไปเนื่องจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจำนวนหน่วยอาคารชุดที่มีการซื้อเพื่อเก็งกำไรและปล่อยเช่าคาดว่าจะมีสัดส่วนประมาณ 25%-40% ของยอดขายอาคารชุดรวม หรือประมาณ 40,000 หน่วย ซึ่งห้องชุดเหล่านี้สามารถกลับเข้ามาเป็นอุปทานใหม่ในตลาดได้หากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ภาวะที่จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยเปิดใหม่มีมากเกินกว่า 70,000 หน่วยต่อปีอย่างต่อเนื่องอาจนำไปสู่การมีอุปทานเหลือขายสะสมที่สูงเกินไป ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงที่อาจทำให้ราคาตกต่ำลงในอนาคตได้

ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองก็เป็นปัจจัยเสี่ยงอีกประการหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์มีความยืดหยุ่นพอสมควร โดยจะเห็นได้ว่าความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจะลดลงในช่วงที่เกิดความไม่สงบทางการเมือง แต่จะปรับตัวดีขึ้นอย่างรวดเร็วภายหลังจากเหตุการณ์สงบลง

ผู้ประกอบการที่จัดอันดับเครดิตโดยทริสเรทติ้งส่วนใหญ่รายงานอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ดีในปี 53 ซึ่งโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 15% ทั้งนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านภาษีที่สิ้นสุดลง ประกอบกับต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาที่ดิน ราคาวัสดุก่อสร้าง ค่าแรง และค่าใช้จ่ายทางการตลาดจะทำให้อัตรากำไรของผู้ประกอบการในปี 54 ปรับลดลงประมาณ 3%-5%

ณ สิ้นปี 53 ที่ดินและสินค้าคงเหลือสะสมของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเปรียบเทียบกับยอดขายในปัจจุบัน คาดว่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 2.8 ปีเพื่อระบายสินค้าคงเหลือสะสมที่มีอยู่ ภาระเงินกู้โดยรวมของผู้ประกอบการปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 53 เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนสำหรับการพัฒนาโครงการในอนาคต

ทริสเรทติ้งมองว่าโครงการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนที่เกิดขึ้นจะค่อย ๆ ลดความร้อนแรงของราคาที่ดินและราคาอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในระยะใกล้และปานกลาง ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สามารถนำเสนอประเภทสินค้าและระดับราคาที่หลากหลายจะได้เปรียบด้านการแข่งขันมากกว่าผู้ประกอบการรายเล็ก อย่างไรก็ตาม การที่ผู้ประกอบการรายใหญ่มีบทบาทค่อนข้างมากในตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็อาจทำให้เสถียรภาพของตลาดลดลงได้เนื่องจากผู้ประกอบการรายใหญ่มักใช้กลยุทธ์และเน้นตลาดที่มีศักยภาพเติบโตทางด้านราคาและพื้นที่ใกล้เคียงกัน จึงมีโอกาสสูงที่จำนวนอุปทานใหม่จะมีมากเกินกว่าความต้องการได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ อุปสงค์ที่หายไปอย่างรวดเร็วจะเพิ่มความเสี่ยงต่อความผิดพลาดในการบริหารจัดการสินค้าสะสม นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการกำหนดรูปแบบที่อยู่อาศัยซึ่งน่าจะเป็นที่นิยมใหม่ ๆ ในอนาคตอย่างต่อเนื่องเพื่อจะรักษาอัตราการเติบโตของรายได้เอาไว้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ