นายวิชา พลูวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป(MAJOR)คาดว่า รายได้และกำไรในไตรมาส 1/54 จะดีกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้จะเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก เนื่องจากภาพยนตร์ที่เข้าฉายในช่วงต้นปีนี้ได้รับความนิยมและทำเงินได้ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะภาพยนตร์ไทย อาทิ "สุดเขตสเสดเป็ด" ซึ่งทำรายได้กว่า 100 ล้านบาท , สาระแนเห็นผี , เลิฟจุลทรีย์ เป็นต้น
บริษัทยังคาดว่ารายได้ในไตรมาส 2/54 และ ไตรมาส 3/54 จะปรับตัวดีต่อเนื่อง เพราะมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เข้าฉายเร็วกว่าปีก่อน ทำให้เชื่อว่ารายได้ในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายเติบโต 10-15% โดยสัดส่วนของภาพยนตร์ไทยน่าจะเพิ่มขึ้นมาที่ 50% จากปีก่อนที่มีสัดส่วน 45%
นอกจากนี้ ในปีนี้บริษัทมีแผนปรับเพิ่มราคาตั๋วชมภาพยนตร์ จากปีก่อนมีราคาเฉลี่ย 130 บาทต่อใบ ซึ่งจะทยอยปรับขึ้นราว 3-5% เนื่องจากตุ้นทุนสูงขึ้น
"ปี 53 เรามี "อวตาร" แต่ปีนี้มี "สุดเขตสเสดเป็ด" และ "สาระแนเห็นผี" ทำรายได้มากกว่า 200 ล้านบาท แนวโน้มในไตรมาส 2 ไตรมาส 3 จะดี ซึ่งปกติจะ Peak ในไตรมาส 3 แต่ปีนี้จะ Peak ในไตรมาส 2 เพราะหนังใหญ่จะมาลงช่วงซัมเมอร์หมด ทั้งเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวร , ไพรเรท ออฟ เดอะ แคริเบียน, แฮร์รี่พอร์ตเตอร์ , ทรานสฟอร์มเมอร์"นายวิชา กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนในปี 54 ไว้ที่กว่า 500 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายโรงภาพยนตร์ระบบดิจิตอลอีก 50 โรง จากปัจจุบันที่มี 32 โรง และใช้ในการลงทุนที่ประเทศอินเดียราว 5%
ส่วนในปี 55 ตั้งงบลงทุนไว้ราว 700-800 ล้านบาท เพื่อใช้ในการสร้างโรงภาพยนตร์ 16 โรง เลนโบว์ลิ่ง 30 เลน และลานไอซ์สเก็ตที่ห้างอีเกีย บางนา และ ซีคอนสเควร์ บางแค โดยจะเปิดโรงภาพยนตร์ 12 โรง เลนโบว์ลิ่ง 20 เลนขึ้นไป และ ลานไอซ์สเก็ต