ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (23 มี.ค.) เนื่องจากแรงซื้อที่ส่งเข้าหนุนหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ หลังจากราคาโลหะพื้นฐานในตลาดโลกทะยานขึ้น อันเนื่องมาจากการคาดการณ์ที่ว่าญี่ปุ่นจะเพิ่มการนำเข้าโลหะเพื่อใช้ในการฟื้นฟูประเทศหลังจากเกิดแผ่นดินไหว อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายค่อนข้างผันผวนเนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพด้านการเงินของยุโรป หลังจากรัฐสภาโปรตุเกสปฏิเสธมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาล
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดบวก 23.48 จุด หรือ 0.35% แตะที่ 6,804.45 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 6,720.02-6,807.38 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดบวก 21.02 จุด หรือ 0.54% ปิดที่ 3,913.73 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 3,875.26-3,918.00 จุด
ดัชนี FTSEurofirst 300 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มบลูชิพในตลาดยุโรปปิดบวก 5.14 จุด หรือ 0.46% แตะที่ 1,112.36 จุด
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มวัสดุพื้นฐานดีดตัวขึ้นแข็งแกร่ง เนื่องจากการคาดการณ์ที่ว่าญี่ปุ่นจะเพิ่มการนำเข้าโลหะเพื่อใช้ในการฟื้นฟูประเทศหลังจากเกิดแผ่นดินไหว โดยดัชนี STOXX Europe 600 หุ้นกลุ่มวัสดุพื้นฐานพุ่งขึ้น 2%
หุ้นเอ็กสตราต้า ซึ่งเป็นผู้ผลิตทองแดงรายใหญ่อันดับ 4 ของโลก ปิดบวก 3.5% ขณะที่หุ้นริโอทินโตปิดบวก 2.9% และหุ้นอันโตฟากัสต้า ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองทองแดงรายใหญ่ของชิลี ปิดบวก 2.8%
อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปค่อนข้างผันผวน เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่า โปรตุเกสอาจจะต้องขอความช่วยเหลือด้านการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และสหภาพยุโรป (อียู) หลังจากรัฐสภาโปรตุเกสปฏิเสธมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาล
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของอุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์ หลังจากนายไรเนอร์ บรือเดอร์เล รมว.เศรษฐกิจและพลังงานของเยอรมนี เปิดเผยว่า รมว.พลังงานกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) ยังไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องหลักเกณฑ์ที่จะนำมาใช้ในการทดสอบภาวะวิกฤต (stress test) ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของประเทศสมาชิกอียู ซึ่งความตื่นตัวในเรื่องความปลอดภัยของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มีขึ้นหลังจากเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิในญี่ปุ่น จนเป็นเหตุให้ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์นิวเคลียร์ในขณะนี้