ทริสเรทติ้งยืนยัน อันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ของบมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ยังไม่ได้รับผลกระทบในทันทีจากการประกาศจะซื้อกิจการ OAK ซึ่งเป็นผู้บริหารโครงการเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ในออสเตรเลีย แม้อาจส่งผลให้ MINT มีภาระหนี้เพิ่มสูงขึ้น ทว่าธุรกิจโดยรวมยังแข็งแกร่งจากกระแสเงินสดรับที่ดี
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด กล่าวว่า อันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ MINT ยังไม่ได้รับผลกระทบในทันทีจากแผนการขยายธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศโดยการประกาศเจตนารมณ์ในการซื้อกิจการของ Oaks Hotel & Resorts Ltd. (OAK) ซึ่งดำเนินธุรกิจบริหารโครงการเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ในประเทศออสเตรเลีย โดย MINT ได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2554 ว่าบริษัทมีเจตนารมณ์ในการทำคำเสนอซื้อหุ้นโดยจะจ่ายค่าหุ้นเป็นเงินสดเพื่อซื้อหุ้นทั้งหมดของ OAK ด้วยการทำธุรกรรมผ่าน Delicious Food Holding (Singapore) Pte Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ MINT ถือหุ้น 100% ในประเทศสิงคโปร์
ทั้งนี้ MINT จะซื้อหุ้นในราคาหุ้นละ 0.35 ดอลลาร์ออสเตรเลีย การทำคำเสนอซื้อดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทได้ซื้อหุ้นของ OAK จำนวน 14.9% เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2554 และยังตกลงที่จะซื้อหุ้น OAK อีก 5% ซึ่งขึ้นอยู่กับการอนุมัติของ Foreign Investment Review Board (FIRB) ด้วย
คำเสนอซื้อหุ้นของ MINT ดังกล่าวขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่จะต้องมีสัดส่วนการถือครองหุ้นส่วนใหญ่ใน OAK ในกรณีที่บริษัทสามารถซื้อหุ้นได้เต็ม 100% บริษัทจะต้องใช้เงินทั้งสิ้น 60.8 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 1,854 ล้านบาท) ซึ่งจะส่งผลให้ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นหลังจากรวมภาระหนี้ของ OAK และภาระหนี้ในการซื้อกิจการ
อย่างไรก็ตาม เงินทุนจากการดำเนินงานของ OAK ก็จะทำให้กระแสเงินสดของบริษัทมีมากขึ้น นอกจากนี้ การซื้อกิจการของ OAK จะช่วยขยายธุรกิจการบริหารโรงแรมของบริษัทให้ครอบคลุมภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก และจะเพิ่มจำนวนโรงแรมในกลุ่มรวมเป็นทั้งสิ้น 71 แห่งทั่วทวีปเอเซีย อนุทวีปอินเดีย ตะวันออกกลาง และทวีปออสเตรเลียด้วย
OAK เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจบริหารโครงการเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ของประเทศออสเตรเลีย โดย ณ เดือนธันวาคม 2553 บริษัทมีโครงการในความรับผิดชอบ 32 โครงการในประเทศออสเตรเลีย 5 โครงการในประเทศนิวซีแลนด์ และ 1 โครงการในนครรัฐดูไบ
โครงการส่วนใหญ่ดำเนินงานภายใต้แบรนด์“Oaks"ในช่วง 2 ปีบัญชีที่ผ่านมา OAK มีรายได้ปีละประมาณ 120 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย โดยมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายปีละประมาณ 28-29 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย อย่างไรก็ตาม จากการที่บริษัทมีการตั้งสำรองจากการด้อยค่าของโครงการในนครรัฐดูไบจึงมีผลทำให้กำไรสุทธิในปีบัญชี 2553 ลดลงมาอยู่ที่ -3,544 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย เทียบกับกำไรสุทธิ 9,753 ล้านดอลาร์ออสเตรเลียในปีบัญชี 2552
สำหรับช่วง 6 เดือนแรกของปีบัญชี 2554 (ก.ค.-ธ.ค. 2553)บริษัทมีรายได้ 70.8 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 19 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งกล่าวว่า หลังจาก MINT ซื้อกิจการ สิ่งที่จะต้องดำเนินการในลำดับแรกคือการปรับโครงสร้างหนี้ระยะสั้นของ OAK ให้เป็นหนี้ระยะยาวและอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับโครงสร้างธุรกิจ
การซื้อกิจการในครั้งนี้อาจส่งผลทำให้ภาระหนี้ของ MINT เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาพรวมธุรกิจของบริษัทยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งจากการมีกระแสเงินสดที่อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยในปี 2553 บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงาน 2,702 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในปี 2554 บริษัทยังคาดว่าจะมีกระแสเงินสดจากการโอนหน่วยขายในโครงการ St. Regis Residence จากการที่มียอดขาย (Presales) กว่า 1,000 ล้านบาทในปี 2553 และคาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นในปีนี้อีกด้วย ทั้งนี้ จากการที่บริษัทประกาศเจตนารมณ์ในการขยายธุรกิจด้วยการควบรวมหรือซื้อกิจการ ดังนั้น ผลกระทบจากการลงทุนในอนาคตที่จะมีต่ออันดับเครดิตของบริษัทจึงพิจารณารวมถึงโครงสร้างเงินทุนและผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นสำคัญ
ปัจจุบัน ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันให้แก่ MINT ที่ระดับ “A" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่