นายประเสริฐ มริตนพร กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส กลุ่มงานบริหาร บมจ.ช.การช่าง(CK) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมโคเจนเนอเรชั่น บางปะอิน เฟส 2 อีก 5 พันล้านบาท ขนาดกำลัการผลิต 110 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จในปี 60 ภายใต้การบริหารของบริษัท บางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น ซึ่งปัจจุบัน CK ถือหุ้นใหญ่ 81% และบริษัท ที่ดินบางปะอิน 19%
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะเสนอขายหุ้นให้กับ บมจ.ปตท.(PTT) เข้าร่วมทุนในโครงการดังกล่าวสัดส่วน 25% การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.)เข้าถือหุ้น 8% บริษัท เอเชียนพาวเวอร์ 10% และ ผู้ถือหุ้นรายย่อยอีก 2% ขณะที่ CK จะลดสัดส่วนการถือหุ้นเหลือ 36% ส่วนบริษัท ที่ดินบางปะอิน จะคงสัดส่วนหุ้นตามเดิม
บริษัท บางปะอินโจเจนเนอเรชั่น จะมีการเพิ่มทุนจดทะเบียนตามโครงการสร้างการถือหุ้นใหม่ เพื่อนำไปใช้ในการลงทุนเฟส 2 ดังกล่าว
อนึ่ง วันนี้ธนาคารกสิกรไทย(KBANK) และธนาคารกรุงไทย (KTB) เซ็นสัญญาให้การสนับสนุนทางการเงิน 5,480 ล้านบาทแก่บริษัท บางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น จำกัด ผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมโครงการแรกของกลุ่ม CK ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า SPP กำลังผลิต 120 เมกะวัตต์ ของบริษัท บางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น มูลค่า 4.8 พันล้านบาท โดย CK ถือหุ้น 81%
*CK คาดโครงการไซยะบุรีเซ็นสัญญาเงินกู้-งานรับเหมาราว เม.ย.-พ.ค.54
นายประเสริฐ กล่าวว่า สำหรับโครงการไซยะบุรี คาดว่าในเดือน เม.ย.ถึงต้น พ.ค.54 จะสามารถเซ็นสัญญาเงินกู้วงเงิน 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเป็นการกู้เงินจากธนาคารรายใหญ่ในประเทศ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมทั้งเซ็นสัญญางานรับเหมาก่อสร้างมูลค่า 7.6 หมื่นล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 8 ปี
หลังเซ็นสัญญาดังกล่าว CK จะมีงานในมือ(backlog)เพิ่มเป็น 1.07 แสนล้านบาท จาก ณ สิ้นปี 53 ที่มี 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้เซ็นสัญญางานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน 2 สัญญา มูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท และในวันนี้เซ็นสัญญารับงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าบางปะอินฯ เฟส 1 มูลค่า 4 พันล้านบาท ทำให้งานในมือเพิ่มเป็น 3.1 หมื่นล้าบาทในปัจจุบัน
นายประเสริฐ กล่าวว่า บริษัทมั่นใจว่ารายได้จะสามารถเติบโตได้ปีละ 15-20% ตั้งแต่ปี 55 เป็นต้นไปจนครบระยะเวลาก่อสร้างโครงการไซยะบุรี ส่วนในปี 54 คาดว่ารายได้จะอยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท และคาดว่าจะสามารถกลับมามีกำไร เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นเป็น 10% จากปีก่อนอยู่ที่ 4.5% หลังจากงานใหม่ที่รับมามีอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 10%
ส่วนความคืบหน้าการนำ บริษัท เซาท์อีสท์ เอเชีย เอนเนอร์จี จำกัด (SEAN) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย คาดว่าจะดำเนินการได้ภายในปีนี้ในฐานะที่เป็นบริษัทโฮลดิ้ง ขณะที่บริษัทลูก คือ บริษัท น้ำงึม 2 พาวเวอร์ จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นลาว และในอนาคตคาดว่าจะมีโครงการน้ำบากเข้ามาและจัดตั้งเป็นบริษัทลูกเพิ่มเติมอีก
ปัจจุบัน SEAN มีทุนจดทะเบียน 6.6 พันล้านบาท
นายประเสริฐ กล่าวว่า CK มีนโยบายที่จะให้บริษัทร่วมทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อให้ระดมทุนได้ง่ายและมีเครื่องมือการเงินที่มีต้นทุนต่ำ เพื่อให้ต้นทุนของบริษัทลดลง โดยโครงการไซยะบุรีก็มีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นเช่นกัน แต่ยังไม่กำหนดว่าจะเข้าตลาดหุ้นไทยหรือตลาดหุ้นลาว