นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.(PTT) กล่าวว่า รายได้ของกลุ่มปตท.ในปี 54 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% หรือมีรายได้รวมราว 2.3 ล้านล้านบาท จากปีก่อนที่ทำได้ราว 2 ล้านล้านบาท
สำหรับการเติบโตในปีนี้ยังคงมาจากบริษัทลูกที่ขยายกำลังกรผลิตและสามารถเดินเครื่องโรงงานใหม่ได้ภายในปีนี้ทั้งบมจ.ปตท.เคมีคอล(PTTCH) บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น( PTTAR) และ บมจ.ปตท.ฟีนอล รวมถึง โรงแยกก๊าซแห่งที่ 6 สามารถเดินเครื่องได้เต็มที่ และท่อก๊าซเส้นที่ 3 แล้วเสร็จลงด้วย
นายประเสริฐ กล่าวว่า สำหรับแผนการนำ บมจ.สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง ที่ PTT ถือหุ้นอยู่ที่ 36% จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ตามแผนงานในปี 55 หลังจาก PTT และเชฟรอนได้ลงนามในสัญญา บันทึกข้อตกลง COA หรือ Construction Operatin Ageement เพื่อกระจายหุ้นและเข้าตลาดหลักทรพัย์ตามแผนงานที่ตกลงกันไว้ โดย PTT จะลดสัดส่วนหุ้นเหลือ 25% เชฟรอนเหลือ 45% จาก 64%
อย่างไรก็ตาม PTT เปิดกว้างที่จะยอมลดสัดส่วนให้เหลือน้อยกว่า 25% แต่หากจะขายออกทั้งหมดก็คงต้องใช้เวลาพอสมควรเนื่องจากภายหลังการเข้าตลาดหุ้น ผู้ถือหุ้นเดิมจะต้องติดระยะเวลาไซเลน พีเรียด จึงมีความจำเป็นที่ PTT ต้องถือหุ้นสักระยะเพื่อเรียกความมั่นใจจากนักลงทุน
ส่วนกระแสข่าวที่ระบุว่า บมจ.ไทยออยล์(TOP) ซึ่งเป็นธุรกิจในเครือ PTT สนใจเข้าซื้อกิจการ บมจ.เอสโซ่ประเทศไทย(ESSO)นั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า หาก TOP มีการซื้อกิจการ ESSO จริง ก็คงไม่ได้ทำให้ PTT ผูกขาดในธุรกิจโรงกลั่นในประเทศไทย เพราะปัจจุบัน PTT ถือหุ้นโรงกลั่นอยู่ที่ 40% และยิ่งในอนาคต PTT จะมีการลดส้ดส่วนหุ้นในโรงกลั่นสตาร์ฯ ลงก็จะทำให้สัดส่วนหุ้นของ PTT ในธุรกิจโรงกลั่นไม่ถึง 50%