โบรกฯ ยังคงแนะ"ซื้อ"หุ้นบมจ.ช.การช่าง(CK)รับผลประโยชน์จากทิศทางการเพิ่มขึ้นของงานในมือ(Backlog)ที่จะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนล้านบาทหลังจากรับงานก่อสร้างโครงการเขื่อนและโรงไฟฟ้าไซยะบุรี ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ จาก Backlog ปัจจุบัน 3 หมื่นกว่าล้านบาท แม้โครงการไซยะบุรีจะมีการเลื่อนเซ็นสัญญาออกไปจากในช่วง 1Q54 เป็นปลายเดือน เม.ย.54 แต่ก็ไม่กระทบต่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัท
ทั้งนี้ CK ยังมีโอกาสรับงานต่อเนื่องจากงบประมาณภาครัฐที่จะทยอยประมูลทั้งโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง สายสีเขียว และโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่คาดว่าจะมีออกมาอย่างต่อเนื่องในปี 54 รวมทั้งจะได้รับประโยชน์จากการที่ SEAN เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในปีนี้ ในฐานะบริษัทโฮลดิ้ง
นอกจากนั้น การรับงานใหม่ของ CK มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น 10-15% หนุนให้ผลการดำเนินงานปี 54 พลิกจากขาดทุนสุทธิในปีก่อนมาเป็นกำไรสุทธิ ส่วนรายได้ปี 54 จะเติบโต 100% โดยประเมินว่าจะมีรายได้ 1.63 หมื่นล้านบาทจาก 8.5 พันล้านบาทในปี 53
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) บล.ทิสโก้ ซื้อ 13.40 บล.ยูไนเต็ด ซื้อลงทุน 12.90 บล.ฟินันเซียไซรัส ซื้อ 12.70 บล.พัฒนสิน ซื้อ 12.50 บล.เกียรตินาคิน ซื้อ 11.85 บล.กิมเอ็ง ซื้อ 11.45
นักวิเคราะห์บล.ยูไนเต็ด กล่าวว่า CK ถือว่าเป็นหุ้นรับเหมาที่โดดเด่นที่สามารถลงทุนในระยะยาวได้ ด้วยความน่าสนใจในด้านมูลค่างานในมือ(Backlog)ที่มีมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท จาก Backlog สิ้นปี 53 อยู่ที่ 10,519 ล้านบาทและหากรวมโครงการไซยะบุรีที่มีมูลค่า 7.6 หมื่นล้านบาท จะทำให้ Backlog กระโดดเพิ่มเป็น 1 แสนล้านบาท ถือว่าสามารถรองรับการเติบโตในระยะยาว 4-5 ปีได้ รวมทั้งงานจากโครงการภาครัฐที่ทยอยประมูลใหม่ ทั้งรถไฟฟ้าสายสีแดง สายสีเขียว และโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
ทั้งนี้ จากงานจะที่มีเข้ามาต่อเนื่อง และ Backlog ที่รอรับรู้รายได้ จะส่งผลต่อการเติบโตทั้งในด้านรายได้และกำไรสุทธิที่ดี โดยเฉพาะกำไรมีโอกาสที่จะกลับมาเป็น 460 ล้านบาท จากที่ขาดทุน 335 ล้านบาทในปีก่อน ขณะที่รายได้ในปี 54 ก็มองว่าจะเติบโต 100% โดยประเมินว่าจะมีรายได้ 1.63 หมื่นล้านบาทจาก 8.5 พันล้านบาท ในปี 53
สำหรับมูลค่างานที่จะเซ็นสัญญา ได้แก่ โครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงหัวลำโพง-บางแค,บางซื่อ-ท่าพระ สัญญา 2 มูลค่า 10,029 ล้านบาท และสัญญา 5 มูลค่า 4,700 ล้านบาท โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในจังหวัดนครราชสีมา มูลค่า 740 ล้านบาท โครงการโรงไฟฟ้าบางปะอิน 4 พันล้านบาท และโครงการอื่นๆ อีกประมาณ 2.4 พันล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ระยะประมาณ 2-3 ปี และยังมีงานรอเซ็นสัญญาสร้างโรงงานยาสูบแห่งที่ 2 มูลค่า 4,620 ล้านบาท
นอกจากนี้หากมองในแง่ของราคาหุ้น CK ยังมี Upside ในการลงทุนเมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่นในกลุ่มก่อสร้าง จึงแนะนำ" ซื้อลงทุน"
ขณะที่นักวิเคราะห์ บล. เกียรตินาคิน แนะ"ซื้อ"หุ้น CK โดยมองว่าในระยะยาวยังมีงานจากงบประมาณภาครัฐคาดว่ายังให้ความสนใจในการพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง คาดให้ผลตอบแทนในระยะยาวได้ต่อเนื่อง นอกเหนือจากงานหลักคือการก่อสร้าง รวมถึงผลประกอบการของบริษัทร่วมที่ปรับดีขึ้นทั้ง BECL,TTW และ BMCL
นอกจากนี้ผลประกอบการปี 54 มีแนวโน้มดีขึ้น จากการรับงานของรถไฟฟ้าสายสีม่วง รวมถึงสายสีน้ำเงินอีก 2 สาย และงานภาคเอกชนที่มาจากงานเขื่อน รวมถึงงานไซยะบุรี มูลค่าโครงการ 7.6 หมื่นล้านบาท แม้จะมีการเลื่อนการเซ็นสัญญา เป็นต้นเดือนพ.ค.จากเดิม ปลายเดือนในไตรมาส 1/54 แต่อย่างไรก็ตาม มองว่าไม่มีผลมากนัก เพราะเชื่อว่าอย่างไรก็ตามก็ยังได้งาน คาดจะเริ่มรับรู้รายได้ในกลางปีหลังการเซ็นสัญญา
รวมทั้งแผนนำ SEAN ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ คาดว่าจะดำเนินการได้ภายในปีนี้ ในฐานะที่เป็นบริษัทโฮลดิ้ง ขณะที่บริษัทลูก คือ บริษัท น้ำงึม 2 พาวเวอร์ จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นลาว และอนาคตคาดว่าจะมีโครงการน้ำบากเข้ามาและจัดตั้งเป็นบริษัทลูกเพิ่มเติมอีก
สำหรับประมาณการปี 54 คาดมีกำไรสุทธิ 697 ล้านบาท EPS อยู่ที่ 0.42 บาท ปรับวิธีการประเมินมูลค่าที่เหมาะสม P/Backlog เฉลี่ยในการรับงานต่อที่มีระดับสูงหลังบริษัทมีแนวโน้มและโอกาสที่ดีต่องานในมือที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะสะท้อนต่อผลประกอบการในอนาคต
ด้านบทวิเคราะห์ บล.เคจีไอ ระบุว่า CK เป็นหุ้นที่น่าลงทุน โดยคาดรายได้ปี 54 จะขยายตัวโดดเด่นที่ระดับ 1.5 หมื่นล้านบาท แม้จะมีการเลื่อนเซ็นสัญญาโครงการไซยะบุรีออกไปจากในช่วง 1Q54 เป็นปลายเดือนเม.ย.54 อาจกระทบภาพรวมของการลงทุนในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม จะไม่กระทบต่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัทและประมาณการผลการดำเนินงานในปี 54 เนื่องจากบริษัทได้มีการรับรู้รายได้จากโครงการไซยะบุรีมาตั้งแต่ในช่วง 3Q53 และภายหลังจากการเซ็นสัญญาในโครงการฝายน้ำล้นไซยะบุรีในช่วงปลายเดือนเม.ย.54 คาดจะทำให้บริษัทมีงานในมือกว่า 1 แสนล้านบาท เพิ่มจากปัจจุบันที่มีงานในมือ 3.1 หมื่นล้านบาท
การรับรู้งานต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้ปี 54 เติบโตโดดเด่น 85.3% YoY เป็น 1.6 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ อัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นจาก 3.5% ในปี 53 เป็น 9.7%เพราะการรับงานใหม่ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า 10-15% จะช่วยหนุนให้ผลการดำเนินงานปี 54 พลิกจากขาดทุนสุทธิ 335 ล้านบาทในปี 2553 เป็นกำไรสุทธิ 920 ล้านบาท