นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า สมาคมฯ ปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนีหุ้นไทย ณ วันสิ้นปี 54 เป็นเฉลี่ย 1,181 จุด จากคาดการณ์เดือน พ.ย.53 อยู่ที่ 1,133 จุด และประเมินดัชนีหุ้นปี 54 สูงสุดที่เฉลี่ย 1,232 จุด และต่ำสุดที่เฉลี่ย 926 จุด
โดยมีปัจจัยบวกที่สำคัญมาจากกระแสเงินทุนจากต่างชาติที่ไหลเข้าไทยอย่างต่อเนื่อง การเลือกตั้งที่คาดว่าจะมีขึ้นช่วงกลางปีนี้ แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯ การขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงผลประกอบการของบจ.ที่ดีขึ้น
ขณะที่คาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ปี 54 จะปรับตัวลดลงเป็นเฉลี่ย 13.8% (จากฐานกำไรปี 53 ที่สูง)
ทั้งนี้ สมาคมฯ คาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 54 เฉลี่ยที่ 4.4% และปี 55 เฉลี่ยที่ 4.8%
นักวิเคราะห์ฯ คาดการณ์การซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนสถาบันในประเทศ ช่วงม.ค.-ธ.ค.54 เฉลี่ยเป็นยอดซื้อสุทธิปีนี้ 40,923 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ได้เสนอแนะให้ภาครัฐจับตาปัญหาและเตรียมมาตรการรองรับ ได้แก่ ปัญหาค่าครองชีพ ซึ่งครอบคลุมถึงเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน และราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่สูงขึ้น, ปัญหาภัยธรรมชาติและการเยียวยาผู้ประสบภัย และปัญหาการแข็งค่าและเสถียรภาพของเงินบาท ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออก
นอกจากนี้ได้แนะนำมาตรการสำคัญให้รัฐบาลปัจจุบันและรัฐบาลใหม่ที่จะมาหลังการเลือกตั้งนำไปดำเนินการโดยเร็วเพื่อประโยชน์ต่อประเทศไทย ได้แก่ มาตรการด้านการลงทุน โดยเร่งการลงทุนและการใช้จ่ายภาครัฐในโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบขนส่ง ชลประทาน เป็นต้น, มาตรการควบคุมเงินเฟ้อ โดยควบคุมเงินเฟ้อและความผันผวนของราคาอาหารและพลังงาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งผู้บริโภคและต้นทุนของผู้ผลิต และมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยแก้ปัญหาและปราบปรามการทุจริตและคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง
สำหรับการลงทุนในระยะสั้น แนะนำให้เพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนให้มากขึ้น เนื่องจากตลาดในระยะนี้เป็นขาขึ้น มีความเสี่ยงสูง ควรเลือกหุ้นทีได้รับประโยชน์จากการเลือกตั้ง การฟื้นฟูหลังสถานการณ์น้ำท่วม และวิกฤตนิวเคลียร์ญี่ปุ่น ควรดูจังหวะซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว และขายทำกำไรเมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้น
ขณะที่ปัจจัยที่ต้องติดตามใกล้ชิด ได้แก่ ปัจจัยภายนอกประเทศ คือ กระแสเงินทุนต่างชาติ ขณะที่ปัจจัยภายใน เป็นเรื่องของการเมือง
หุ้นแนะนำ หุ้นเด่นที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุนตรงกันหลายสำนักวิจัย ได้แก่ BANPU, BBL, KBANK, PTT, SCB, TOP เป็นต้น ด้านหุ้นที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นว่าราคาเต็มมูลค่า หรือเกินมูลค่าแล้ว ได้แก่ TMB, TRUE เป็นต้น