ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (8 เม.ย.) หลังจากที่ราคาน้ำมันทะยานขึ้นเหนือระดับ 112 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่า ความเป็นไปได้ที่รัฐบาลอาจต้องยุติการให้บริการแก่ประชาชนชั่วคราวอันเนื่องมาจากสภาคองเกรสสหรัฐไม่สามารถหาข้อยุติเรื่องงบประมาณได้นั้น อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับตัวลง 29.44 จุด หรือ 0.24% แตะที่ 12,380.05 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 5.34 จุด หรือ 0.40% แตะที่ 1,328.17 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดลบ 15.72 จุด หรือ 0.56% แตะที่ 2,780.42 จุด
นักลงทุนจับตาดูสมาชิกสภานิติบัญญัติจากพรรครีพับลิกันและเดโมแครตเข้าสู่วันสุดท้ายของการอภิปรายเพื่อบรรลุข้อตกลงเรื่องงบประมาณของรัฐบาลกลางสำหรับปี 2554 แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีท่าทีว่านักการเมืองจากสองพรรคจะสามารถตกลงกันได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ก็จะทำให้หน่วยงานของรัฐที่ให้บริการต่อประชาชนอาจต้องยุติการให้บริการที่เห็นว่าไม่จำเป็นทั้งหมดลงชั่วคราว (government shutdown) ซึ่งจะหมายความว่ารายงานเศรษฐกิจส่วนใหญ่อาจถูกระงับ และจุดกระแสความวิตกกังวลว่า ภาวะการณ์เช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่ทะยานขึ้นอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือที่ยังคงยืดเยื้อ ก็ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสูงต่อเศรษฐกิจ โดยสัญญาน้ำมันดิบปิดเหนือกว่าระดับ 112 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดระดับใหม่ในรอบ 2 ปีครึ่ง
ขณะเดียวกัน วานนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานสต็อกสินค้าภาคค้าส่ง เพิ่มขึ้น 1% ในเดือนก.พ. แต่ยอดขายส่งลดลง 0.8% ซึ่งเป็นข้อมูลที่สะท้อนให้เห็นว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังไม่มีความแน่นอน
การแสดงความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐยังได้ส่งผลกดดันบรรยากาศการซื้อขายเช่นกัน โดยนายริชาร์ด ฟิชเชอร์ ประธานเฟด สาขาดัลลัส ออกมาวิจารณ์แผนการซื้อพันธบัตรมูลค่า 6 แสนล้านดอลลาร์ หรือนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสอง (QE2) ของธนาคารกลาง ระบุธนาคารควรพิจารณายุติแผนการดังกล่าวก่อนครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการในช่วงปลายเดือนมิ.ย.นี้