นายวีระ อิงค์ธเนศ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสวีโอเอ(SVOA)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทอยู่ระหว่างยื่นประมูลงานของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ไปแล้วหลายแห่งกระจายทั่วประเทศที่เปิดประมูล 7,000 กว่าโรงเรียน มูลค่างานเกือบ 3,000 ล้านบาท คาดหวังได้งาน 20-30% มูลค่าประมาณ 600-700 ล้านบาท รับรู้รายได้ทั้งหมดในปีนี้
"ยื่นประมูลไปแล้วบางโรงเรียนเริ่มเปิดซองและประกาศแล้วบางส่วน เราอยู่ระหว่างรวบรวม ถึงแม้ไม่ได้หวังชนะทั้งหมด แต่ถ้าได้ถึง 20% ก็โอเคแล้ว เริ่มประมูลช่วงนี้ไปถึง พ.ค.ซึ่ง พ.ค.ก็จะรู้ผลทั้งหมด เพราะต้องติดตั้งก่อนเปิดเทอม"นายวีระ กล่าว
นอกจากนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างยื่นประมูลงานโครงการส่วนกลางกับหน่วยงานราชการแห่งหนึ่งมูลค่างานหลักพันล้านบาท คาดว่าจะประกาศผลในเดือน พ.ค.นี้เช่นกัน แนวโน้มไตรมาส 2/54 น่าจะออกมาดี เพราะมีหลายโครงการที่ที่ทำร่วมกับทางการ
นายวีระ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมในปี 54 เติบโต 10-15% จากปีก่อนที่มีรายได้ 6-7 พันล้านบาท เป็นไปตามอุตสาหกรรมไอทีที่คาดว่าจะเติบโตอย่างน้อย 15-16% โดยรายได้ไตรมาส 1/54 แนวโน้มเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่คงไม่ได้ดีกว่างวดเดียวกันปีก่อน เชื่อว่าไตรมาส 2-3/54 จะเห็นการเติบโตชัดเจนขึ้น เพราะจะมีการรับรู้รายได้หลายโครงการ นอกจากนั้น การเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในปีนี้เชื่อว่าเป็นผลบวกต่อบริษัท เนื่องจากทำให้ธุรกิจคอนซูมเมอร์คึกคักมากขึ้น
"อุตสาหกรรมไอทีโอเค โปรเจกต์รัฐบาลต่างๆเกิดขึ้นใน 1-2 เดือนนี้ ถ้าเทียบไฮซีซั่นของอุตฯจะเป็นไตรมาส 2-3 และปีนี้รับอานิสงส์ trend เทคโนโลยีใหม่ๆ มากขึ้น ของเราก็เริ่มนำเข้า dell sumsung เข้ามามากขึ้น จากนี้ไปก็จะมีอีกหลาย brand"
"ปีนี้นอกจากเมกะโปรเจกต์ของหน่วยงานราชการแล้ว โปรเจกต์ค้าขายของภาคเอกชนก็โอเค ยอดขายไม่ได้ตก อุตฯไอทีก็ยังขยายตัวได้ 15-16% ช่วยหนุนรายได้ยังโตต่อเนื่องจากปีก่อนที่รายได้รวมที่ 6,000-7,000 ล้านบาท ปีนี้ก็เชื่อว่าจะโตได้ 10-15%"นายวีระ กล่าว
นายวีระ กล่าวอีกว่า สำหรับเหตุการณ์ภัยพิบัติในประเทศญี่ปุ่นอาจมีผลกระทบในระยะยาวต่ออุตสาหกรรมไอที เนื่องจากชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์บางประเภทที่ผลิตในญี่ปุ่นอาจจะขาดตลาด เช่น เมมโมรี่ ชิพ หรือพวกแบตเตอรี่ของโน้ตบุ๊ก ซึ่งอาจจะทำให้การผลิตสินค้าที่ใช้ชิ้นส่วนเหล่านี้ออกมาไม่ทันต่อความต้องการ เมื่อถึงช่วงนั้นเชื่อว่าตลาดอาจจะมีการปรับขึ้นราคาสินค้า เพราะต้นทุนที่ปรับขึ้นตามดีมานด์-ซัพพลาย
แต่ระยะนี้อาจยังไม่เห็นผลกระทบ เพราะสินค้าส่วนใหญ่มีการสั่งซื้อล่วงหน้าไว้แล้ว ดังนั้น ผลกระทบกับกลุ่มของเราจึงมีไม่มาก แต่หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ภายใน 2 เดือนข้างหน้าอาจจะได้เห็นผลกระทบ เพราะขณะนี้เริ่มเห็นหลายบริษัทชิ้นส่วนฯประกาศว่าอีก 1-2 เดือนสินค้าอาจจะขาดตลาด เพราะญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนสำคัญหลายตัว อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าอาจใช้ผู้ผลิตชิ้นส่วนเหล่านี้จากจีน ไต้หวันได้ แต่ถ้าไม่ออกจากญี่ปุ่นหรือของไม่ครบ ก็จะส่งผลต่อตลาดเช่นกัน
"เมมโมรี่ ชิพ ส่วนใหญ่มาจากญี่ปุ่น ถ้าส่งเข้าโรงงานผลิตคอมฯไม่ได้ก็เป็นปัญหา หรือชิ้นส่วนฯแบตเตอรี่ ถ้าขาดของจากญี่ปุ่น อาจทำให้โน้ตบุ๊กออกไม่ทัน ก็เชื่อว่าในตลาดจะมีการปรับขึ้นราคา ถ้าซัพพลายขาดแต่ดีมานด์ขึ้น อีก 1-2 เดือนจะเห็น แต่ช่วงนี้ไม่มีใครขยับในแง่ของการปรับราคา ส่วนจะมีการปรับขึ้นราคาเท่าไรนั้นต้องแล้วแต่สินค้า แต่ช่วง 1-2 เดือนนี้เราก็ต้องมอนิเตอร์ ติดตามอย่างใกล้ชิดว่าโอเคหรือเปล่า"นายวีระ กล่าว