ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (14 เม.ย.) จากแรงซื้อที่ส่งเข้าหนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเหนือระดับ 108 ดอลลาร์/บาร์เรล อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน หลังจากสหรัฐเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานพุ่งขึ้นอย่างเหนือความคาดหมายในรอบสัปดาห์ที่แล้ว รวมทั้งความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อทั่วโลก
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 14.16 จุด หรือ 0.12% แตะที่ 12,285.15 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 0.11 จุด หรือ 0.01% แตะที่ 1,314.52 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดลบ 1.30 จุด หรือ 0.05% แตะที่ 2,760.22 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 4 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 4 ต่อ 3
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบ NYMEX พุ่งขึ้นเหนือระดับ 108 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐ
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 9 เม.ย.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 27,000 ราย แตะระดับ 412,000 ราย ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 380,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้นที่ระดับ 382,000 ราย
หุ้นกลุ่มการเงินร่วงลงถ้วนหน้า โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป ปิดร่วงลงกว่า 1% ส่วนหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ดิ่งลงเกือบ 3% หลังจากวุฒิสมาชิกคาร์ล เลวิน จากรัฐมิชิแกนระบุว่า คณะทำงานของเขาพบหลักฐานชิ้นใหม่ว่าโกลด์แมน แซคส์ หลอกลวงนักลงทุน
เมื่อไม่นานมานี้โกลด์แมน แซคส์ แอนด์ โค ถูกเปรียบเทียบปรับเป็นเงิน 535 ล้านดอลลาร์ และค่าธรรมเนียมชดเชยความเสียหายอีก 15 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 550 ล้านดอลลาร์ ในข้อหาปิดบังข้อมูลที่สำคัญแก่นักลงทุนเกี่ยวกับตราสารหนี้ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน หรือ ตราสารซีดีโอ
หุ้นฟอร์ด มอเตอร์ ปิดร่วง 1.1% หลังจากฟอร์ดประกาศเพิ่มการเรียกคืนรถปิคอัพรุ่น F-150 เนื่องจากพบปัญหาที่ถุงลมนิรภัย โดยรถยนต์รุ่นดังกล่าวเป็นรุ่นที่ฟอร์ดสามารถทำยอดจำหน่ายสูงสุดในตลาดสหรัฐ
หุ้นกูเกิล อิงค์ ปิดร่วง 4% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (พีพีไอ) ทั่วไปปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนมี.ค. น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะพุ่งขึ้น 1.0% ส่วนดัชนีพีพีไอพื้นฐานซึ่งไม่นับรวมราคาในหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนมี.ค. มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.2%
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในคืนวันศุกร์ตามเวลาประเทศไทย โดยกระทรวงแรงงานจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมี.ค., ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเปิดเผยดัชนีภาคการผลิตเดือนมี.ค. และกระทรวงการคลังจะเปิดเผยข้อมูลเงินทุนไหลเข้าสุทธิและปริมาณการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐของต่างชาติเดือนก.พ.