ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (15 เม.ย.) เนื่องจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคและข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ทะยานขึ้น ช่วยชดเชยผลประกอบการที่น่าผิดหวังของแบงก์ ออฟ อเมริกา และกูเกิล
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 56.68 จุด หรือ 0.46% แตะที่ 12,341.83 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 5.16 จุด หรือ 0.39% แตะที่ 1,319.68 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 4.43 จุด หรือ 0.16% แตะที่ 2,764.65 จุด
ทั้งนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐได้ช่วยกระตุ้นบรรยากาศการซื้อขาย หลังจากที่วานนี้รอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐช่วงต้นเดือนเม.ย. อยู่ที่ 69.6 ซึ่งสูงกว่าระดับคาดการณ์และเพิ่มขึ้นจากระดับ 67.5 ในช่วงปลายเดือนมี.ค. ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงมีความเชื่อมันในแนวโน้มเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานการผลิตในภาคอุตสาหกรรม พุ่งขึ้น 0.8% ในเดือนมีนาคม นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กเปิดเผยดัชนีภาวะธุรกิจโดยรวม (Empire State Index) ทะยานขึ้นจากระดับ 17.50 ในเดือนมี.ค. มาอยู่ที่ระดับ 21.7 ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบหนึ่งปี
ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนมีนาคม โดยมีสาเหตุหลักมาจากราคาอาหารและน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดี CPI พื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ขยับขึ้นเพียง 0.1% ซึ่งน้อยกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2%
ข้อมูลเศรษฐกิจที่เป็นบวกช่วยหนุนหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและกลุ่มบริการสุขภาพ อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง นำโดยแบงก์ ออฟ อเมริกา และกูเกิล ตามลำดับ
โดยแบงก์ ออฟ อเมริกา รายงานผลกำไรเพิ่มสูงขึ้นแตะ 2.05 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก แต่ตัวเลขดังกล่าวยังต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาด เนื่องจากธนาคารรายใหญ่สุดของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์ยังคงต้องรับมือกับการขาดทุน การฟ้องร้องดำเนินคดี และต้นทุนที่สูงขึ้นเกี่ยวกับธุรกิจสินเชื่อที่อยู่อาศัย
หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วง 2.36%
ขณะที่ หุ้นกูเกิลดิ่งลงถึง 8.26% และฉุดให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงตามไปด้วย หลังจากยักษ์ใหญ่ด้านอินเทอร์เน็ตรายงานผลกำไรไตรมาสแรกที่น้อยกว่าคาดการณ์ เพราะต้นทุนค่าใช้จ่ายของบริษัทที่ทะยานขึ้นถึง 54% นอกจากนั้น ซิตี้กรุ๊ปยังได้ลดอันดับหุ้นกูเกิลเป็น “ถือ” และลดเป้าหมายราคาหุ้นเป็น 650 ดอลลาร์ จาก 750
ด้านอินโฟซิส เทคโนโลยีส์ บริษัทเอาท์ซอร์สรายใหญ่อันดับ 2 ของอินเดีย รายงานผลกำไรต่ำกว่าคาดการณ์เช่นกัน เนื่องจากรายจ่าย ความไม่แน่นอนทั่วโลก และเงินรูปีที่แข็งค่าได้กดดันตัวเลขกำไร โดยหุ้นอินโฟซิสทรุดลง 13.42%