นายอิสระ วงศ์รุ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลิสซิ่งกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ช่วงไตรมาส 1/54 บริษัทปล่อยสินเชื่อใหม่เป็นสินเชื่อเช่าซื้อและลิสซิ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 37% และสินเชื่อเพื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์เพิ่มขึ้น 46.3% ตามยอดขายรถยนต์โดยรวมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ปัจจุบัน บริษัทมียอดสินเชื่อคงค้าง 57,744 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 24.84% และสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)อยู่ที่ 0.93% ของสินเชื่อรวม ลดลงจากปีก่อนที่อยู่ 1.31%
สำหรับไตรมาส 2/54 คาดว่าการปล่อยสินเชื่อใหม่ยังเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสแรก โดยบริษัทตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่เพิ่มอีก 21,858 ล้านบาท แบ่งเป็นสินเชื่อเช่าซื้อและลิสซิ่ง จำนวน 16,683 ล้านบาท สินเชื่อเพื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ จำนวน 5,175 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความกังวลว่าในช่วงไตรมาส 2/54 การปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์อาจปรับตัวลดลง หลังผู้ประกอบการหรือตัวแทนจัดจำหน่ายส่งมอบรถยนต์ให้ลูกค้าได้น้อยลง เพราะไม่มีสินค้าจำหน่าย เนื่องจากผลกระทบภัยพิบัติที่เกิดกับญี่ปุ่น ส่งผลให้ผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์หลายรายไม่สามารถส่งสินค้าให้กับผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศไทยได้
แต่ทั้งนี้ เชื่อว่าหลังเดือนก.ค.54 สถานการณ์น่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และยอดขายรถยนต์ในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตสูงมาก
"เชื่อว่าญี่ปุ่นน่าจะแก้ปัญหาได้ภายใน 3 เดือน ก็คิดว่ายอดขายในช่วงครึ่งปีหลังจะดีมาก หลังกลับมาส่งมอบได้ตามปกติ คิดว่าปีนี้ 9 แสนคันน่าจะเป็นไปได้ ในส่วนของบริษัทก็ได้หันมาขยายพอร์ตสินเชื่อรถยนต์แบบอื่นๆมากขึ้น ทั้งอีโคคาร์และรถกระบะ หลังรถเก๋งจะส่งมอบได้น้อยลงช่วงไตรมาส 2/54"นายอิสระ กล่าว
และทั้งปี 54 บริษัทยังคงเป้าหมายปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ 43,304 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.06% จากปีก่อน และมียอดสินเชื่อคงค้างรวมตลอดทั้งปีที่ 64,561 ล้านบาท กำไรสุทธิ 468 ล้านบาท ส่วน NPL จะควบคุมไม่เกิน 1.66% ขณะเดียวกันจะมีการปรับปรุงเงื่อนไขการพิจารณาเครดิตเพื่อเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อรถกระบะจาก 20% เป็น 30% และสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อรถยนต์อีโคคาร์เพิ่มขึ้นตามแนวโน้มตลาดรถยนต์
สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยช่วงขาขึ้น ทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นไปด้วย แต่ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อมองว่าไม่น่าปรับตัวขึ้นมาก โดยปัจจุบันอยู่ที่ 2.45% และคาดว่าไม่น่าเกิน 2.75% ในสิ้นปีนี้ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อลูกค้าเก่า เพราะใช้อัตราดอกเบี้ยคงที่ ส่วนผลกระทบต่อลูกค้าใหม่มองว่ามีน้อยมาก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นครั้งละ 0.25% จะกระทบต่อค่างวดในการผ่อนรถยนต์เพิ่มขึ้นประมาณ 100 บาทเท่านั้น
อนึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ปรับเพิ่มประมาณการยอดขายรถยนต์ในปี 54 อยู่ที่ 8.5-9 แสนคัน จากเดิมคาดว่ามียอดขาย 8.3-8.7 แสนคัน ซึ่งช่วง 2 เดือนแรกพบว่ามียอดขายรถยนต์รวม 1.45 แสนคัน เพิ่มขึ้น 40.37% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 1.03 แสนคัน
ปัจจัยสนับสนุนตลาดรถยนต์ในปีนี้ให้เติบโตสูงมาจากภาคการส่งออกมีการขยายตัวขึ้นมาก สินค้าเกษตรมีราคาสูงขึ้น การลงทุนจากภาครัฐและเอกชนเพิ่มขึ้น รวมทั้งโครงการประชาวิวัฒน์ของรัฐบาล ในขณะที่บริษัทรถยนต์มีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ โดยเฉพาะอีโคคาร์ ซึ่งช่วยขยายตลาดผู้ใช้รถยนต์ในกลุ่มรถราคาประหยัดมากขึ้น