MPIC ปรับเป้ารายได้ปี 54 โต 15-20% จาก 10%,ล้างขาดทุนผ่านจ่อจ่ายปันผล

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday April 20, 2011 12:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเผด็จ หงษ์ฟ้า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์(MPIC)กล่าวว่า บริษัทปรับเป้ารายได้ปี 54 เพิ่มขึ้นเป็นเติบโต 15-20% จากเดิม 10% เนื่องจากมีภาพยนตร์ไทยเข้าฉายมากขึ้น 50% เป็น 15 เรื่อง จาก 10 เรื่องในปี 53 และยังมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศเข้ามามาก รวมทั้งแนวโน้มการจัดจำหน่ายแผ่นซีดีและวีดิโอจะเป็นไปได้ด้วยดี

นอกจากนั้น ยังคาดว่าปีนี้จะมีกำไรสุทธิดีกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 43 ล้านบาทค่อนข้างมาก และมั่นใจว่าจะสามารรถจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการงวดปี 54 ให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างแน่นอน หลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นวันนี้อนุมัติให้บริษัทนำส่วนเกินมูลค่าหุ้นมาล้างขาดทุนสะสมทั้งหมด 198.4 ล้านบาท โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ

นายเผด็จ กล่าวว่า ในไตรมาส 1/54 คาดว่ากำไรและรายได้จะเติบโต 10% จากไตรมาส 1/53 เป็นผลจากการรับรู้รายได้ภาพยนตร์ไทยเรื่อง"สุดเขตสเลดเป็ด"ที่บริษัทลงทุนเอง และเรื่อง"น้ำ"รวมทั้งมียอดขายแผ่นซีดีและดีวีดีเรื่อง"ผู้ชายลันล้า"ที่บริษัทลงทุนสร้างเอง

พร้อมทั้ง คาดว่าในไตรมาส 2/54 กำไรจะออกมาใกล้เคียงกับไตรมาสแรก เนื่องจากยังมีภาพยนตร์ไทยเข้าฉายอย่างต่อเนื่อง และจะมีการขายแผ่นซีดีและดีวีดีของภาพยนตร์ที่เข้าฉายไปก่อนหน้านี้

บริษัทมีแผนจะลงทุนสร้างภาพยนตร์ไทยทั้งหมด 4 เรื่องในปีนี้ รวมวงเงินลงทุน 190 ล้านบาท ได้แก่ "ผู้ชายลันล้าภาค 2 โดนตามจิกจะรอดมั้ยหว่า" ใช้เงินลงทุน 40 ล้านบาท คาดว่าจะเข้าฉายปลายเดือน ก.ย.54 ส่วนอีก 3 เรื่องจะลงทุนเรื่องละ 50 ล้านบาท ได้แก่ เรื่อง "สามสิบยังแจ๋ว" เข้าฉายเดือน ก.ย. และอีก 2 เรื่องจะเข้าฉายในช่วง ต.ค.-ธ.ค.54

"ที่เรากล้าสร้างหนังเอง เพราะโรงหนังเป็นของเรา โรงหนังเมเจอร์มีสวนแบ่งถึง 80% โดยเมเจอร์ถือหุ้น MPIC อยู่ 67% แต่เราไม่กล้าสร้างเยอะ เพราะไม่แน่ใจ และมไอยากเสี่ยง"นายเผด็จ กล่าว

ทั้งนี้ ในปี 53 บริษัทลงทุนสร้างภาพยนตร์ไทย 3 เรื่อง โดยเรื่อง"บิ๊กบอย"และ"เราสองสามคน"ถือว่าเสมอตัว ส่วน"ผู้ชายลันล้า"ทำกำไรผ่านการฉายในโรงภาพยนตร์กว่า 20 ล้าน ขณะที่"สุดเขตสเลดเป็ด"สามารถทำกำไรผ่านการฉายโรงภาพยนตร์กว่า 30 ล้านบาทในช่วงต้นปีนี้

โครงสร้างรายได้ของบริษัทมาจากรายได้จากการขายแผ่นซีดีและดีวีดีราว 50% รายได้จากการสร้างและจัดจำหน่ายภาพยนตร์ไทย 30% รายได้จากการฉายภาพยนตร์ 20% ซึ่งบริษัทมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเอเจนซี่ภาพยนตร์ต่างประเทศทั้งโคลัมเบียพิคเจอร์ส และ วอลท์ดีสนีย์

"ปีนี้คิดว่าจะดีกว่าปีที่แล้ว ถ้าการเมืองดี ไม่มีปฏิวัติ หนังเราทำเงินได้แน่นอน"นายเผด็จ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ