นายไพบูลย์ เฉลิมทรัพยากร ประธานกรรมการ บมจ.ยูนิมิต เอนจิเนียริ่ง(UEC) เปิดเผยว่า ในปี 54 บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 1.3 พันล้านบาท หรือเติบโต 30% จากปีก่อน หลังมองว่าเศรษฐกิจยังเติบโตได้ดี และปัญหาในมาบตาพุดคลี่คลาย ทำให้น่าจะมีการลงทุนใหม่ๆ เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปีนี้มีปัจจัยเสี่ยงหลายเรื่องทั้งเหตุการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลาง ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้รับงานด้านพลังงานและไฟฟ้า ในประเทศลิเบีย ซึ่งมูลค่างานคิดเป็น 7-8% ของยอดขายปี 54 แต่ปัจจุบันต้องชะลอออกไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด และยังมีอีก 1 โครงการในตะวันออกกลางที่ต้องชะลอออกไปก่อน
ส่วนในยุโรปยังประสบปัญหาวิกฤตหนี้สาธารณะ แต่เหตุการณ์ในญี่ปุ่นบริษัทไม่ได้รับผลกระทบ เพราะไม่มีการลงทุนในประเทศญี่ปุ่น ขณะที่เหตุการณ์ในประเทศมองว่ายังมีความไม่แน่นอน โดยในช่วงกลางปีจะมีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งต้องรอติดตามว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่
"โปรเจ็คต์ที่ลิเบียต้องเลื่อนออกไปก่อนไม่มีกำหนด แต่เราเชื่อว่าจะไม่กระทบรายได้ในปีนี้ ซึ่งตั้งไว้ที่ 1.3 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการตั้งแบบ conservative ภายใต้ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ส่วนที่มาบตาพุดปัจจุบันมีลูกค้ารายหลายเข้ามาสอบถามราคามากขึ้น แต่ต้องใช้เวลาประมาณ 8-10 เดือนกว่าจะได้ข้อสรุป"นายไพบูลย์ กล่าว
นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัทประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน แต่บริษัทก็ได้มีการขอโควต้าแรงงานต่างด้าวจากรัฐบาล จำนวน 200 คน ซึ่งน่าจะเข้ามาเริ่มทำงานได้ในเร็วๆ นี้ ในส่วนของแรงงานฝีมือได้มีการพัฒนามาโดยตลอด และมีการเซ็นสัญญากับทางวิทยาลัยเทคนิคอุดรธานี โดยมีการส่งนักเรียนเข้ามาทำงานกับบริษัท จำนวน 15 คนในปีนี้
ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ(Backlog)ประมาณ 500 ล้านบาท น่าจะรับรู้ในปีนี้เกือบทั้งหมด โดยสัดส่วน 20-25% เป็นงานในต่างประเทศ ซึ่งการเข้าไปรับงานในต่างประเทศจะเน้นการเข้าไปประมูลงานด้วยตนเอง และการร่วมประมูลกับพันธมิตร แต่ไม่มีแผนเข้าไปตั้งบริษัทในต่างประเทศ
และในปีนี้คาดว่าสัดส่วนงานในต่างประเทศจะเพิ่มมากกว่า 20% ของงานทั้งหมด จากปีก่อนที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 10% แม้งานต่างประเทศจะมีมาร์จิ้นน้อยกว่า แต่จำนวนงานมีมากกว่า และถือเป็นโอกาสใหม่ๆในการทำธุรกิจ
“ผมมองว่างานในต่างประเทศปีนี้น่าจะมากกว่า 20% ของงานทั้งหมด แม้มาร์จิ้นน้อย แต่งานมีเยอะ เป็นตลาดใหม่ของเรา ซึ่งแผนการทำธุรกิจของเราอยากโตในงานที่ถนัดทั้ง 5 ด้าน ไม่ใช่การเข้าไปซื้อบริษัทอื่นๆ ซึ่งผมมองว่ามีความเสี่ยง" นายไพบูลย์ กล่าว
สำหรับแผนการลงทุนในปีนี้ บริษัทยังไม่มีแผนสร้างโรงงานแห่งใหม่ หรือการขยายกำลังการผลิต โดยปัจจุบันโรงงานทั้ง 3 แห่งมีกำลังการผลิตไม่ถึง 50% แต่บริษัทมีแผนที่จะลงทุนในการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักร โดยจะใช้เงินลงทุนไม่เกิน 30 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากเงินสดของบริษัททั้งหมด โดยปัจจุบันมีเงินสดอยู่ประมาณ 400 ล้านบาท
ส่วนความผันผวนของราคาเหล็กซึ่งเป็นวัตถุดิบหลัก นายไพบูลย์ กล่าวว่า ไม่ค่อยได้รับผลกระทบ เพราะจะซื้อเหล็กต่อเมื่อก่อนเข้าประมูลงานใหม่และจะล็อคราคากับผู้ขายทันที ไม่มีการสต๊อคเหล็ก ส่วนในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนจะมีการทำประกันความเสี่ยง 100%