นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บมจ. อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีกลุ่มลูกค้าจากญี่ปุ่นที่เซ็นสัญญาเพื่อซื้อที่ดินไปแล้วกว่า 70 ราย อยู่ในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนโลหะ และอาหาร เป็นจำนวนกว่า 200 ไร่
หลังจากที่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิในญี่ปุ่น บริษัทได้เร่งประเมินถึงสถานการณ์และภาพรวมการลงทุนในนิคมฯ ซึ่งไม่ได้ส่งผลให้มีการชะลอเข้าซื้อที่ดินแต่อย่างใด โดยยังคงมีกลุ่มลูกค้าเดิมที่ยังคงสัญญาไว้ และกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีการเซ็นสัญญาการซื้อที่ดินเพื่อขยายกำลังการผลิต
นอกจากนี้ เชื่อว่าหลังจากที่เหตุการณ์ในญี่ปุ่นคลี่คลาย การเซ็นสัญญาซื้อที่ดินจะยังคงมีเพิ่มขึ้น เนื่องจากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในเอเชียยังคงเติบโต และไทยยังถือเป็นประเทศที่ยังคงมีความน่าสนใจด้านการลงทุน เนื่องจากญี่ปุ่นมีความใกล้ชิดกับประเทศไทยมาเป็นระยะเวลายาวนาน รวมทั้งคาดว่าญี่ปุ่นจะต้องลดความเสี่ยงการลงทุนในประเทศ ซึ่งทำให้มีการย้ายฐานการผลิตออกไปผลิตในต่างประเทศมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมไฮเทคที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์และอิเลคทรอนิกส์ ที่เดิมมีการย้ายฐานการผลิตออกนอกญี่ปุ่นไม่มากนัก แต่หลังจากนี้จะมีการย้ายฐานออกสู่ต่างประเทศมากขึ้น จึงน่าจะเป็นโอกาสของประเทศไทยที่เป็นไปได้ว่าญี่ปุ่นจะตัดสินใจเข้ามาขยายฐานการผลิตเพื่อส่งชิ้นส่วนไปยังประเทศต่างๆ เพราะไทยเป็นฐานผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ครบวงจรอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ในช่วง 3 เดือนแรก ยังคงได้รับความสนใจในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงครึ่งปีหลังของปี 2553 ที่ผ่านมามีการขยายฐานการผลิตของนักลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น จนถึงขณะนี้จะเห็นว่ามีการย้ายฐานการผลิตทั้งจากลูกค้ารายเก่าและใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมยายนต์
"คาดว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในปี 2554 นี้ เหตุเพราะไทยมีการออกรถยนต์รุ่นใหม่ และรถยนต์อีโคคาร์ ซึ่งมีการส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ส่งผลดีต่อโรงประกอบรถยนต์ที่มีการลงทุนในการขยายกำลังการผลิต อีกทั้งผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่มีการลงทุนอยู่เดิมมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น โดยเข้ามาซื้อที่ดินเพื่อขยายโรงงานอย่างต่อเนื่อง" นายวิบูลย์ กล่าว