นายวินิจ แตงน้อย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) กล่าวว่า บริษัท Tokyo Electric Power (TEPCO) ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่สุดในญี่ปุ่น ที่เข้าถือหุ้น EGCO ทางอ้อม 12.29% เมื่อต้นปี 54 จะมาหารือกับบริษัทถึงแผนธุรกิจในอนาคตช่วงกลางปีนี้ โดยขณะนี้ยังดำเนินการไปตามแผนงานเดิมที่ EGCO วางไว้ก่อนหน้าที่
ส่วนกรณีที่เกิดปัญหาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของ TEPCO ในญี่ปุ่นนั้น นายวินิจ มองว่า ไม่ได้มีผลกระทบต่อบริษัท หรือความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นกับบริษัท เพราะเรื่องดังกล่าวเกิดจากภัยธรรมชาติ
"เราจะคุยกันกลางปีนี้ ช่วยกันทำแผนธุรกิจให้ EGCO เติบโตในอนาคต เขาเป็นผู้ถือหุ้น เขาย่อมสนับสนุนเราอยู่แล้ว" นายวินิจ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
นายวินิจ กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจในปีนี้บริษัทยังคงขยายการลงทุนไปยังอาเซียน ตลอดจนโครงการอื่นๆในประเทศ ทั้งโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่(IPP)โรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) และพลังงานทดแทนน เช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และ พลังงานชีวมวล
ทั้งนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อกิจการโรงไฟฟ้าในอินโดนีเซีย ขณะที่การลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีในสปป.ลาวที่บริษัทเข้าไปถือหุ้นสัดส่วน 12.5% นั้น หลังจากที่มีกลุ่มออกมาต่อต้านการดำเนินการโครงการดังกล่าว บริษัทจะดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลลาว โดยจะให้เกียรติรัฐบาลลาวตัดสินใจว่าจะดำเนินโครงการนี้ต่อหรือไม่
ด้านนายปิยะ เจตะสานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบริการองค์กร EGCO กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทมีวงเงินกู้ระยะสั้นอยู่แล้ว หากสามารถได้โครงการใหม่ก็สามารถลงทุนได้ และมีแผนจะออกหุ้นกู้เพื่อเป็นกู้เงินระยะยาวทดแทนในภายหลัง
EGCO มีโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้วรวม 14 โครงการ กำลังการผลิตรวม 4,361 เมกะวัตต์ เป็นการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับกฟผ.
นายวินิจ เปิดเผยว่า กำไรสุทธิในปี 54 ของบริษัทจะลดลงต่อเนื่องจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 6,792 ล้านบาท ซึ่งลดลง 14% จากปี 52 เนื่องจากบริษัทรับรู้รายได้ลดลงตามสัญญาขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าหลักคือโรงไฟฟ้าระยองและโรงไฟฟ้าขนอม แต่เชื่อว่าจะลดลงไม่มากนัก เนื่องจากมีรายได้จากต่างประเทศเข้ามาช่วยได้บ้าง
"กำไรปีนี้ต่ำกว่าปีที่แล้ว แต่ไม่ลดลงมาก เพราะได้โรงไฟฟ้าเควซอน และน้ำเทิน 2 เข้ามาช่วยแต่ก็ยัง cover...เราก็พยายามหาโรงใหม่ แต่ธุรกิจไฟฟ้าต้องมอง long term คาดว่า 5 ปีนี้กำไรลดลงตามโครงสร้างรายได้ค่าไฟ"นายวินิจ กล่าว
นายวินิจ กล่าวว่า ในปี 54 บริษัทรับรู้รายได้เต็มปีหลังจากที่ได้ลงทุนเพิ่มในบริษัท เคซอน เพาเวอร์ (ฟิลิปปินส์) จำกัด อีก 26.125% รวมถือหุ้นสัดส่วน 52.125% และลงทุนเพิ่มอีก 10% เป็น 35% ในบริษัท น้ำเทิน 2 เพาเวอร์ จำกัด ที่ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำใน สปป.ลาว
นอกจากนี้ บริษัท พัฒนาพลังงานธรรมชาติ จำกัด(ถือหุ้น 33.33%) ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ลพบุรี กำลังการผลิต 73 เมกะวัตต์ จะสามารถเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ในเดือน พ.ย. 54 และได้ลงนามเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เป็นเวลา 5 ปี และสามารถต่อสัญญาได้ทุกๆ 5 ปี