บลจ.ไอเอ็นจี เปิดขายกองทุน"เกรทเทอร์ ไชน่า ทริกเกอร์ 10%"ช่วง 26 เม.ย.-4 พ.ค.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 25, 2011 13:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายต่อ อินทวิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย)เปิดเผยว่า บริษัทเสนอขาย “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เกรทเทอร์ ไชน่า ทริกเกอร์ 10%" ระหว่างวันที่ 26 เม.ย.-4 พ.ค.54 มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท โดยกองทุนดังกล่าวจะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน ING(L)Invest Greater China ที่บริหารโดย ING Investment Management เน้นการลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในกลุ่ ม Greater China ประกอบด้วย จีน ฮ่องกง และ ไต้หวัน ซึ่งถือเป็นกลุ่มประเทศที่มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีและเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

“กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เกรทเทอร์ ไชน่า ทริกเกอร์ 10%" จะกำหนดผลตอบแทนที่แน่นอนจากการลงทุน โดยเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 11.25 บาทต่อหน่วย ณ วันทำการใด กองทุนจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติทั้งหมดและนำเงินค่าขายคืนไปลงทุนต่อใน “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย แคช แมนเนจเม้นท์"

ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าวด้วยว่า กองทุนดังกล่าวเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนในกองทุนต่างประเทศและมีความน่าสนใจ เช่น กลุ่มประเทศเกรทเทอร์ ไชน่า โดยการตั้งเป้าหมายผลตอบแทนจากการลงทุนในระดับที่น่าพอใจ และเมื่อได้ผลตอบแทนที่ต้องการแล้ว สามารถหยุดความเสี่ยงด้วยการออกจากตลาดหุ้นดังกล่าวทันที

“จุดเด่นของกองทุนนี้คือ การมุ่งเน้นผลตอบแทนที่ชัดเจน โดยกำหนดมูลค่าหน่วยลงทุนที่มากกว่าหรือเท่ากับ 11.25 บาทต่อหน่วย รวมถึงการมีนโยบายการป้องกันความเสี่ยง (Currency Hedging) เพื่อลดความเสี่ยงจากการแข็งค่าของเงินบาท ตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ซึ่งสอดรับกับปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง"

สำหรับประเทศในกลุ่มเกรทเทอร์ ไชน่านั้น ต่างก็มีความโดดเด่นที่แตกต่างกันออกไป โดยประเทศจีนมีพัฒนาการแบบบูรณาการ จากการเน้นการผลิตเพื่อส่งออกสู่ประเทศที่มีฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่และมีความต้องการบริโภคสินค้าและบริการในประเทศสูง จึงทำให้มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจแข็งแกร่งและฐานะการเงินที่มั่นคง สำหรับตลาดหุ้นก็มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอีกมากหากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและมาตรการควบคุมทางการเงินเบาบางลง นอกจากนี้ ตลาดหุ้นจีนยังมีอัตราส่วนหุ้นต่อกำไร (P/E) ที่ค่อนข้างต่ำ โดยปัจจุบันอยู่ที่ระดับประมาณ 12.1 เท่า ซึ่งยังต่ำกว่าระดับเฉลี่ยในอดีตที่ 13.9 เท่า

ส่วนฮ่องกงซึ่งมีเศรษฐกิจเกื้อหนุนระหว่างจีน ทำให้ได้รับประโยชน์อย่างมากทั้งด้านธุรกิจการค้า การเงิน-การลงทุน อสังหาริมทรัพย์ และการท่องเที่ยว โดยการที่รัฐบาลจีนได้อนุญาตให้เปิดเสรีซื้อขายเงินหยวนในฮ่องกง ซึ่งรวมทั้งการฝากเงิน ตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้นในรูปเงินหยวน จะผลักดันให้ตลาดการเงินใหม่ในฮ่องกงพัฒนาอย่างรวดเร็วในอนาคตต่อไป และนั่นทำให้ตลาดหุ้นฮ่องกงเป็นตลาดที่มีหุ้นที่เสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) มากที่สุดในโลกในปี 2553 ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นฮ่องกงในปัจจุบันยังมี P/E ที่ต่ำมาก โดยอยู่ที่ 11.0 เท่าซึ่งต่ำกว่าระดับเฉลี่ยในอดีตที่ 13.7 เท่า

ขณะที่ไต้หวัน ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการผลิตที่ทันสมัยในภูมิภาคเอเชีย ก็มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจถึง 10.82% ในปี 2553 ซึ่งสูงสุดในรอบ 24 ปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกไปยังจีน และในปีนี้ไต้หวันก็น่าได้รับประโยชน์ในการเป็นผู้รับผลิตสินค้าเทคโนโลยีชั้นสูงหลังจากที่ญี่ปุ่นประสบปัญหาจากแผ่นดินไหว ซึ่งตลาดหุ้นไต้หวันก็ถือได้ว่ามี P/E ที่ค่อนข้างต่ำเช่นกัน โดยปัจจุบันอยู่ที่ระดับประมาณ 12.0 เท่า ซึ่งต่ำกว่าระดับเฉลี่ยในอดีตที่ 14.0 เท่า

“ด้วยศักยภาพการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของกลุ่มประเทศเกรทเทอร์ ไชน่า และด้วยระบบการคัดกรองหุ้นอย่างมีคุณภาพโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพของกองทุนต้นทาง รวมทั้งการออกแบบผลิตภัณฑ์ในรูปแบบการกำหนดเป้าหมายผลตอบแทน โดยเสริมเรื่องการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้น กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เกรทเทอร์ ไชน่า ทริกเกอร์ 10% จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจให้กับนักลงทุนที่แสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุน" นายต่อกล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ