นายวีระพล ไชยธีรัตต์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ชัยวัฒนา แทนเนอรี่กรุ๊ป(CWT)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"กล่าวว่า แนวโน้มรายได้ในไตรมาส 2/54 คาดว่าจะลดลงจากไตรมาส 1/54 เนื่องจากหลังเกิดเหตุภัยพิบัติในประเทศญี่ปุ่นนส่งผลวงการรถยนต์ซึม ยอดการผลิตชะลอลงหมดทุกค่าย เพราะหลายโรงงานในญี่ปุ่นที่ผลิตชิ้นส่วนยังผลิตไม่ได้ ทำให้ค่ายรถยนต์หลายแห่ง โดยเฉพาะรายใหญ่อย่างฮอนด้าและโตโยต้าประกาศลดกำลังการผลิตลง
นอกจากนั้น การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ก็อาจจะชะลอออกไป เช่น ฮอนด้าซีวิครุ่นใหม่ เดิมมีแผนจะเปิดตัวปลายปีนี้ก็อาจจะล่าช้าไป ซึ่งบริษัทเองก็ได้คำสั่งซื้อเบาะหนังของรถยนต์รุ่นดังกล่าวด้วย ดังนั้น ขณะนี้จึงต้องรอให้รอให้ผลกระทบทุกอย่างเรียบร้อยก่อน รวมถึงออร์เดอร์ใหม่ๆ ที่อยู่ระหว่างเจรจาอีกหลายราย ยังต้องรอดูสถานการณ์หลังจากที่กำลังการผลิตรถยนต์ทุกค่ายกลับสู่ปกติ
"ช่วงไตรมาส 2 ทุกคนที่ทำ auto part ตั้งแต่แผ่นดินไหวต้นมี.ค.ก็ซึม ออร์เดอร์บางรุ่นลดลง 20-30% โดยรวมก็จะประมาณนี้ เพราะเฉลี่ยมีทั้งรุ่นที่ลดกำลังผลิต 20-30-50% ซึ่งก็จะส่งผลให้รายได้ไตรมาส 2/54 น่าจะลดลงจากไตรมาส 1/54 แน่นอนและคิดว่าเป็นทุกราย"นายวีระพล กล่าว
นายวีระพล กล่าวอีกว่า"ปัจจุบันกำลังติดตามข่าวว่าจำนวนจะกระทบกี่สัปดาห์ แต่ก็มองว่ากระทบระยะสั้นหลังจากนั้นก็ต้องเตรียมของไว้เพราะสุดท้ายก็ต้องเร่งผลืตจำนวนที่ขาดหายไป"
สำหรับรายได้ในช่วงไตรมาส 1/54 คาดว่าจะออกมาดีกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน และดีกว่าไตรมาส 4/53 ขณะที่กำไรน่าจะเป็นบวกได้เช่นกันเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่คงเทียบกับกำไรในไตรมาส 4/53 ไม่ได้ เพราะมีกำไรจากรายการพิเศษเข้ามาด้วย
นายวีระพล กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทยังคงเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 15-20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 900 ล้านบาท โดยรายได้ปีนี้น่าจะทะลุ 1,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงไม่เกินเดือน มิ.ย.54 บริษัทจะมีการทบทวนเป้ารายได้ อาจจะต้องปรับตัวเลขกันใหม่เพราะสถานการณ์ครึ่งปีแรกมีทั้งบวกและลบ
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้น่าจะเป็นกำไรได้อยู่ถ้ารักษาสภาพการผลิตได้ในระดับเดียวกับไตรมาส 1/54 ที่มีอัตราการใช้กำลังผลิตที่ 85% ซึ่งรวมถึงงานต่างประเทศที่บริษัททดลองทำอยู่ด้วย
สำหรับงบลงทุนในปี 54 เตรียมไว้หลายสิบล้านบาท ซึ่งส่วนหรึ่งจะเป็นการร่วมลงทุนกับลูกค้าใหม่ เพราะมีลูกค้าจากจีนที่จะย้ายฐานการผลิตมาไทย ซึ่งบริษัทก็จะรับจ้างผลิตต่อ โดยในปีนี้คาดว่าสัดส่วนรายได้จากงานรับช่วงต่อจะอยู่ที่ประมาณ 10-20% ของรายได้รวม จากเดิมที่ไม่มีรายได้จากส่วนนี้
และต่อไปคาดว่าบริษัทในจีนจะเลิกผลิตธุรกิจฟอกหนัง บริษัทจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อจะรับคำสั่งซื้อในอนาคต ซึ่งปีนี้ปีนี้จะได้ออร์เดอร์ต่อเนื่องมาแล้วตลอดทั้งปี แม้ว่าการรับช่วงงานต่อวอลุ่มการผลิตอาจจะไม่มากแต่อัตรากำไร(มาร์จิ้น)ดีกว่าเดิม ไม่ต้องลงทุนมากแต่ได้กระแสเงินสดเข้ามาค่อนข้างดี "ถ้ารับ contact ต่อมาร์จินจะดีกว่าธุรกิจหลัก 20-30%(หลังจ่ายค่าใช้จ่ายแล้วเงินสดจะได้เหลือดีกว่า) ซึ่งสัดส่วนรายได้จะ 10-20% ในปีนี้ แต่ปีหน้าต้องรอลุ้นถ้าปีนี้เราทำได้ดีปีหน้าก็น่าจะเพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้น"
นายวีระพล ยังเปิดเผยอีกว่า บริษัทจะมีการหารือกันในที่ประชุมคณะกรรมการว่าจะนำเสนอเรื่องล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ไม่ถึง 200 ล้านบาทเมื่อใด