นายวีระ ศรีชนะชัยโชค กรรมการผู้จัดการ บมจ.ปริญสิริ (PRIN) เปิดเผยว่า ผลประกอบการในไตรมาส 1/54 คาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้จำนวน 400 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ไตรมาสละ 1,000 ล้านบาท หลังพบว่าทำยอดขายได้น้อยและไม่มีสินค้าส่งมอบให้ลูกค้า เนื่องจากการก่อสร้างบางโครงการล่าช้ากว่าที่กำหนด
อย่างไรก็ตาม คาดว่ายอดรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/54 น่าจะสูงกว่าไตรมาส 1/54 เนื่องจากบริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่คงต้องติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการเลือกตั้งใหม่
"แม้ไตรมาส 1 รายได้จะพลาดเป้าหลังมีปัญหาไม่สามารถเปิดโครงการได้ต่อเนื่อง ซึ่งเราก็รู้มาตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีก่อน ปีนี้เลยเร่งสร้างโครงการใหม่ๆ เพิ่มขึ้น แต่เรายังมีอีก 3 ไตรมาส ซึ่งจะเห็นภาพชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป"นายวีระ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้รวมปี 54 ที่ 5,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 4,400 ล้านบาท จากการมีแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ 10 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท โดยช่วงที่ผ่านมาได้มีการเปิดโครงการใหม่แล้ว 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ City sense วัชรพล โซน E เป็นทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น มูลค่า 572 ล้านบาท และ โครงการ Zerene พุทธมณฑลสาย 3 เป็นบ้านเดี่ยว มูลค่า 906 ล้านบาท
และเตรียมเปิดอีก 8 โครงการ ได้แก่ โครงการ Zerene ท่าข้าม ช่วงไตรมาส 2/54 จากเดิมที่มีแผนเปิดโครงการในไตรมาส 1/54 แต่ติดปัญหาการสร้างถนนจากภาครัฐที่ไม่เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหาผู้รับเหมารายใหม่, โครงการ City sense ถนนเรวดี-ติวานนท์ คาดว่าเปิดขายในไตรมาส 2/54 , โครงการทาวน์โฮม 3 ชั้น ถนนเอกชัย-บางบอน เปิดขายในไตรมาส 3/54
นอกจากนี้ยังมีโครงการที่ถนนสวนผัก ส่วนที่ถนนบางขุนเทียนชายทะเล เป็นบ้านเดี่ยวขนาดเล็ก ถนนราชพฤกษ์ เป็นบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ และเชิงสะพานพระนั่งเกล้า เป็นคอนโดมิเนียม ถนนรามอินทรา 109 เป็นบ้านเดี่ยวขนาดเล็ก
บริษัทยังมีที่ดินรอการพัฒนาอีก 6 แปลง มูลค่ารวม 800 ล้านบาท โดยมี 3 แปลงหลักอยู่ที พัทยา มูลค่า 340 ล้านบาท ที่ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ มูลค่า 129 ล้านบาท และ ถนนท่าข้าม มูลค่า 130 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนจะขายที่ดินเปล่าแปลงที่พัทยาและถนนนราธิวาสฯ โดยขณะนี้มีผู้ให้ความสนใจหลายราย แต่ยังไม่สรุปเรื่องราคา ซึ่งหากไม่สามารถขายได้ภายในปีนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาโครงการต่อไป
และในปีนี้บริษัทตั้งงบซื้อที่ดิน จำนวน 1,200-1,500 ล้านบาท เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต โดยใช้เงินลงทุนจากกระแสเงินสด 30% ที่เหลือกู้เงินจากสถาบันการเงิน
นายวีระ กล่าวว่า ในปีนี้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทอยู่สูงกว่าปีก่อนที่อยู่ระดับ 25% เนื่องจากบริษัทเตรียมปรับเพิ่มราคาขายบ้านโครงการใหม่อีกไม่เกิน 5% ส่วนโครงการเก่ายังคงขายราคาเดิมแต่จะมีการไม่มีโปรโมชั่น ส่วนอัตรากำไรสุทธิปีนี้คาดว่าอยู่ใกล้เคียงปีก่อนที่อยู่ 9.7%