นางสาวรำภา คำหอมรื่น ประธานเจ้าหน้าฝ่ายการเงิน และ รองประธานฝ่ายบัญชีและการเงิน บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (BIGC) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้า EBITDA 3 ปีข้างหน้าแตะ 1.2 พันล้านบาท หลังจากบริษัทได้เข้าซื้อกิจการจากคาร์ฟูร์ ขณะที่รายได้ของบริษัทจะเติบโตเพิ่มขึ้นสอดคล้องกันไปด้วย
ในปี 54 คาดว่าบริษัทจะมีรายได้ 1 แสนล้านบาท ซึ่งหลังการซื้อกิจการคาร์ฟูร์ จะส่งผลให้บริษัทมีสาขาเพิ่มขึ้นเป็น 115 สาขา แบ่งเป็น BIGC 73 สาขา และคาร์ฟูร์ 42 สาขา ซึ่งการมีสาขาจำนวนมากช่วยเพิ่มความสะดวกการใช้บริการของลูกค้า และจะช่วยผลักดันกำไรและรายได้ของบริษัทในอนาคตให้เพิ่มขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทจะซื้อกิจการคาร์ฟูร์ แต่บริษัทยังคงเดินหน้าในการขยายสาขาต่อเนื่อง โดยในปีนี้มีแผนขยายสาขาไฮเปอร์มาร์เก็ต 2 แห่ง โดยเฉพาะในต่างจังหวัด, บิ๊กซี มาร์เก็ต 4 สาขา รวมถึงการเปิดสาขามินิบิ๊กซี ที่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อีก 40-50 สาขา จากปัจจุบันมี 18 สาขา
พร้อมกันนั้น ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการทยอยปรับเปลี่ยนป้าย และรูปแบบของห้างคาร์ฟูร์ ให้เป็นบิ๊กซี โดยคาดว่าจะดำเนินการได้เสร็จสิ้นทุกสาขาภายใน 1 ก.ค.54 ซึ่งที่ผ่านมามีการปรับเปลี่ยนไปแล้ว 10 สาขา เช่น สาขาร่มเกล้า พระราม 2 บางโพ สุวินทวงศ์
ทั้งนี้ บริษัทจะใช้เงินลงทุนในการขยายสาขา จำนวน 2-3 พันล้านบาท ซึ่งไม่รวมเม็ดเงินที่ใช้ซื้อกิจการคาร์ฟูร์ 3.8 หมื่นล้านบาท
นางสาวรำภา กล่าวอีกว่า บริษัทยังมีแผนเพิ่มสินค้าภายใต้แบรนด์บิ๊กซีอีก 1,300 รายการ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าและการเพิ่มจำนวนสมาชิกบัตรบิ๊กซี ที่ปัจจุบันมีจำนวน 5.4 ล้านใบ คิดเป็นมูลค่า 60% ของยอดขาย
"การขยายสาขาของเราคงจะเน้นในต่างจังหวัด เราก็ทำไปเรื่อยๆ แม้เราจะซื้อคาร์ฟูร์และมีจำนวนสาขาเยอะขึ้นก็ตาม...ที่เราเน้นต่างจังหวัด เพราะตลาดกรุงเทพเริ่มอิ่มตัว และการซื้อกิจการคาร์ฟูร์ ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดมาอยู่อันดับต้นๆ ในไฮเปอร์มาร์เก็ต"นางสาวรำภา กล่าว