นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ภาครัฐบาลมีนโยบายโครงการบ้านหลังแรก ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งเบาภาระผู้ซื้อบ้านหลังแรกในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ด้วยการยกเว้นดอกเบี้ย หรือ 0% ใน 2 ปีแรก ทำให้ผู้ซื้อบ้านมีภาระชำระเฉพาะเงินต้นเท่านั้น นับเป็นนโยบายที่จะช่วยเหลือประชาชนให้มีบ้านเป็นของตนเองได้ง่ายขึ้น รวมถึงน่าจะส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางล่างมีการอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นในปีนี้
ปัจจุบันกลุ่ม SIRI มีโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและยังคงมีจำนวนยูนิตสำหรับการขายจำนวนทั้งสิ้น 53 โครงการ แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวจำนวน 20 โครงการ, คอนโดมิเนียมจำนวน 20 โครงการ และทาวน์เฮาส์รวม 13 โครงการ
ในจำนวนนี้แบ่งเป็นโครงการที่อยู่อาศัยที่มีระดับราคาขายเฉลี่ยตั้งแต่ 1.21 — 3 ล้านบาท ซึ่งลูกค้าตัดสินใจซื้อและพร้อมโอนในปีนี้อยู่ประมาณ 1,050 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,540 ล้านบาท ประกอบด้วยที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมในโครงการ blocs77 และโครงการ dcondo อ่อนนุช — สุวรรณภูมิ โครงการบ้านเดี่ยวในโครงการบ้านพร้อมพัฒน์ ไพร์ม และโครงการฮาบิเทีย วงแหวน — รามอินทรา รวมถึงทาวน์เฮาส์ในโครงการทาวน์พลัส ประชาอุทิศ, โครงการทาวน์พลัส เทพารักษ์และโครงการ V-Village เฟส 1
นอกจากนี้ยังประกอบด้วยบ้านสร้างเสร็จพร้อมอยู่ในโครงการฮาบิทาวน์ วัชรพล ราคาเริ่มต้น 2.3 ล้านบาท และ V-Village เฟส1 ราคาเริ่มต้น 1.1 ล้านบาทซึ่งเปิดการขายแล้วอีกด้วย
“ผลของมาตรการดังกล่าวจะส่งผลดีให้ตลาดที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะตลาดระดับกลาง-ล่าง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีฐานลูกค้าอยู่เป็นจำนวนมาก มีอัตราการขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นในปีนี้ ทั้งนี้ ที่ผ่านมากลุ่มบริษัทแสนสิริได้เปิดตัวการขายโครงการที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร ทั้งโครงการบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียมใจกลางเมือง โครงการทาวน์เฮาส์ โครงการบ้านแฝด รวมถึงโครงการที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์ในรูปแบบช้อปเฮาส์ โดยมีการสร้างแบรนด์และการรับรู้เกี่ยวกับโครงการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้โครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทประสบความสำเร็จ ในด้านการขายเป็นอย่างมาก เห็นได้จากยอดขายที่มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมากในแต่ละปี โดยในปี 54 นี้ กลุ่มบริษัทแสนสิริ มีประมาณการยอดโอนโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทที่สร้างเสร็จสมบูรณ์และพร้อมจะส่งมอบให้กับลูกค้า มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงเป็นอันดับต้นๆ ของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย" นายเศรษฐา กล่าว