บมจ.ทีโอที ได้ลงนามว่าจ้างกลุ่มเอสแอล คอนซอเตียม ในโครงการสร้างโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G มูลค่า 15,999.50 ล้านบาท เช้าวันนี้ คาดว่าจะสามารถให้บริการได้ประมาณกลางไตรมาส 4/54 โดยให้บริการเต็มรูปแบบในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และ 13 จังหวัด หลังจากนั้นภายในกลางปี 55 จะสามารถใช้งานได้ทุกจังหวัดทั่วประเทศ
ขณะเดียวกัน ทีโอที อยู่ระหว่างเจรจากับ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) หรือ AIS ในการเป็น strategic MVNO หรือผู้ทำการตลาดโทรศัทพ์เคลื่อนที่ 3G กับทีโอที คาดว่าจะเจรจาได้ข้อสรุปภายในมิ.ย.นี้
นายอานนท์ ทับเที่ยง กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีโอที และ กลุ่มเอสแอล คอนซอเตียม โดยนายเจริญรัฐ วิไลลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น (SAMART) และ นายวสันต์ จาติกวณิช กรรมการบริหาร บมจ. ล็อกซเล่ย์ (LOXLEY) ร่วมลงนามสัญญาโครงการดังกล่าว
กลุ่มเอสแอล คอนซอเตียม ของบริษัท สามารถ คอมมิวนิเคชั่น เซอร์วิส จำกัด และ บริษัท ล็อกซเล่ย์ ไวร์เลส จำกัด เป็นผู้ติดตั้งโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G มูลค่า 15,999.50 ล้านบาท ระยะเวลา 360 วัน ประกอบด้วย การสร้างระบบโครงข่ายหลัก(Core Network) จำนวน 1 ระบบ ระบบสถานีฐาน (UTRAN) จำนวน 4,772 แห่ง ระบบสื่อสัญญาณ (Transport Network)ระบบบริการจัดการโครงข่าย (OSS)จำนวน 1 ระบบ ระบบบริการเสริมพื้นฐาน(VAS) จำนวน 1 ระบบ ระบบสนับสนุนการให้บริการ (Business Supoort System)จำนวน 1 ระบบ รวมทั้งการติดตั้งอุปกรณ์และการจัดเตรียมสถานที่ (Site Preparation) และ อุปกรณ์สนับสนุนและบำรุงรักษาโครงข่าย
นายอานนท์ กล่าวว่า การให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G จะแบ่งเป็น 3 เฟส โดยเฟส 1 และ 2 คาดว่าจะเปิดให้บิรการได้ภายใน 180 วันหรือ 6 เดือน คือ กรุงเทพฯ ปริมณฑล และ 13 จังหวัดเศรษฐกิจ เช่น ชลบุรี ระยอง สงขลา สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง พิษณุโลก อุดรธานี นครราชสีมา ขอนแก่น และหนองคาย เริ่มให้บริการได้ภายใน 90 วัน
และเฟสสุดท้าย จะขยายไปยังทุกจังหวัดในประเทศเพื่อให้ครอบคลุมต่อจำนวนประชากร 70% ทั้งนี้ ทีโอทีจะพิจารณาจากพื้นที่ที่มีความต้องการสูง
ด้านนายกำธร ไวทยกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทีโอที กล่าวว่า โครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G ใหม่นี้จะสามารถรองรับได้ 7 ล้านเลขหมาย ที่จะมีการติดตั้งสถานีฐาน 4,772 แห่ง จากโครงข่ายเดิมที่มี 548 สถานีฐาน รองรับได้ 5 แสนเลขหมาย ในพื้นที่กรุงเทพฯ หลังจากเซ็นสัญญาวันนี้ จะเพิ่มอีก 1,772 สถานีฐาน เป็น 2,320 สถานีฐาน ภายใน 6 เดือน จะทำให้ทำการตลาดในกรุงเทพได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทขายผ่าน MVNO 5 รายได้ทำการตลาดอยู่รวม 2 แสนเลขหมาย
ในปีแรกทีโอทีตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนลูกค้า 3G เป็น 1.3 ล้านเลขหมาย และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 7 ล้านเลขหมายภายในปี 58 อย่างไรก็ดี จากการที่มีการเลื่อนเซ็นสัญญาช้ากว่าแผน(ก.พ.54) 3 เดือน ทำให้ต้องมีการทบทวนรายได้ในปีแรก(ปี 54) ที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1,700 ล้านบาท และปีที่ 2 ประมาณ 3,000 ล้านบาท
ขณะที่ ที่โอทีได้มีการดำเนินเจรจากับ ADVANC ในการเป็น strategic MVNO ที่จะมีการรับรองตัวเลขยอดจำนวนลูกค้าและรายได้ รวมถึงรายอื่นด้วย คาดว่าจะสามารถสรุปการเจรจาได้ภายในเดือนมิ.ย. นี้
"ทาง ADVANC ก็เข้ามาคยแล้ว การจะมาเป็น strategic MVNO ขึ้นกับเงื่อนไขและราคาที่เขาจะยอมรับได้หรือไม่...ครม.ให้เราขายส่งเป็นหลัก" นายกำธร กล่าว
ทั้งนี้ ฝ่ายบริหารจะมีการหารือกับ Boston Consalting Group (BCG) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G เกี่ยวกับแผนการตลาดใหม่ทั้งหมด รวมถึงเงื่อนไขการเป็น strategic MVNO โดยจะเสนอต่อคณะกรรมการทีโอทีเพื่อรับทราบภายในเดือนพ.ค.นี้ ส่วน MVNO รายอื่นก็รับได้โดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งปัจจุบันมี 19 รายที่ได้ใบอนุญาตจากรักษาการ กสทช. ในการให้เป็น MVNO
นายกำธร กล่าวว่าทีโอที จะทยอยรับงานติดตั้งโครงข่าย 3G โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เสร็จครบ 6 เดือน
สำหรับเงินทุนสร้างโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G ทั่วประเทศ มูลค่า 19,980 ล้านบาท แบ่งเป็น การประกวดราคาจัดซื้อจัดจ้างมุลค่า 17,440 ล้านบาท งบสำรองโครงการมูลค่า 540 ล้านบาท และการปรับปรุงโครงข่ายเดิมของเอซีทีโมบายจาก 2G เป็น 3G มูลค่า 2,000 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนของทีโอที จะมาจากเงินกู้สถาบัน คิดเป็น 80% จากธนาคารกรุงศรีอยุธยา และ ธนาคารยูโอบี และ 20% มาจากการดำเนินงานของทีโอที