บล.กรุงศรีอยุธยา ระบุในบทวิเคราะห์ฯยังแนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น(PTTAR) ประเมินมูลค่าพื้นฐานเท่ากับ 52 บาท เพื่อแลกเป็นหุ้นบริษัทใหม่ที่จะเกิดจากการควบรวมระหว่าง PTTAR กับ PTTCH ในช่วงเดือน ส.ค. นี้ โดยคาดว่าผลจากการควบรวมจะส่งผลให้บริษัทใหม่เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจครบวงจรทั้งโรงกลั่น ปิโตรเคมีสายอะโรเมติกส์และสายโอเลฟินส์ และได้รับอานิสงส์เต็มที่จากภาวะขาขึ้นของอุตสาหกรรมโรงกลั่นและปิโตรเคมีสายอะโรเมติกส์ในปี 54 และสายโอเลฟินส์ในปี 55
PTTAR ประกาศผลประกอบการงวด 1Q54 มีกำไรสุทธิ 4,979 ล้านบาท (+31%QoQ, +112%YoY) ต่ำกว่าที่คาดไว้เพียง 2.7% ที่ 5,115 ล้านบาท โดยระดับการผลิตรวมของธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจปิโตรเคมีลดลงเหลือ 19.1 ล้านบาร์เรล ลดลงจาก 24.7 ล้านบาร์เรล ใน 4Q53 และ 22.4 ล้านบาร์เรล ใน 1Q53 เนื่องจากการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนงานของโรงกลั่น AR1 (Planned shutdown) เป็นเวลา 47 วัน
อย่างไรก็ดี ผลประกอบการที่ขยายตัวโดดเด่นเป็นผลจากกำไรขั้นต้นรวม (Market GIM) ที่สูงขึ้นเป็น US$10.2/บาร์เรล เทียบกับ US$7.7/บาร์เรล ใน 4Q53 และ US$6.7/บาร์เรล ใน 1Q53 เนื่องจากการขยายตัวของค่าการกลั่น รวมไปถึงส่วนต่างราคาพาราไซลีนกับคอนเดนเสทที่สูงขึ้นอย่างมากเป็น US$771/ตัน(+40%QoQ, +84%YoY) และเบนซีนกับคอนเดนเสทเป็น US$276/ตัน (+16%QoQ, -18%YoY) นอกจากนี้ ยังมีการบันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมันอีกกว่า US$6.0/บาร์เรล
ด้านบล.ธนชาต แนะนำ"ซื้อลงทุนระยะยาว"หุ้น PTTAR ราคาเป้าหมาย 49 บาท/หุ้น เนื่องจากอุตสาหกรรมโรงกลั่นเข้าสู่ช่วงขาขึ้น แต่ในระยะสั้น PTTAR ไม่น่าสนใจเท่าไหร่นัก เนื่องจากกำไรมีแนวโน้มลดลง
PTTAR รายงานกำไรสุทธิที่น่าประทับใจที่ 5 พันลบ.เพิ่มขึ้น 112%y-y และ 30%q-q ผลการดำเนินงานออกมาต่ำกว่าที่คาด 10% แต่สูงกว่าที่ตลาดคาด 11% ปัจจัยหลักที่ทำให้ผลการดำเนินงานต่ำกว่าที่คาด เนื่องจากไม่ได้รวมขาดทุนจากการทำ swap
แต่ทั้งนี้กำไรสุทธิดีขึ้นอย่างมากทั้งที่บริษัทฯ มีการปิดโรงกลั่นเพื่อซ่อมบำรุงเป็นเวลา 39 วัน (ทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิต (Crude utilization) ลดลงมาอยู่ที่ 66% จากระดับปกติที่อยู่ในระดับเกือบ 100%) และมีผลขาดทุนจากส่วนต่างจากสัญญาแลกเปลี่ยนค่าการกลั่น และส่วนต่างราคาน้ำมันดิบสุทธิ 467 ลบ. รวมทั้งขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 150 ลบ.
วานนี้(10 พ.ค.)หุ้น PTTAR ปิดที่ 39.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท(+0.64%)